ฝ่ากับดักคอร์รัปชัน ‘ไทย’ ผู้นำประเทศต้องเอาจริง - ประชาชนต้องตื่นตัว

ฝ่ากับดักคอร์รัปชัน ‘ไทย’ ผู้นำประเทศต้องเอาจริง - ประชาชนต้องตื่นตัว

สถานการณ์คอร์รัปชันในไทยอยู่ในขั้นวิกฤต โดยดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ต่ำสุดรอบ 12 ปี ดร.มานะ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ชี้แนวทางแก้ปัญหา

KEY

POINTS

  • สถานการณ์คอร์รัปชันในไทยอยู่ในขั้นวิกฤต โดยดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี
  • ปัญหาคอร์รัปชันถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน
  • ดร.มานะ นิมิตมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ชี้ว่าการแก้ปัญหาต้องเริ่มต้นจากผู้นำประเทศที่ต้องมีความจริงจัง สร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้
  • ภาคประชาชนต้องตื่นตัวและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบเฝ้าระวังและเปิดโปงการทุจริต

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ฝังรากลึกในสังคมไทย ทำให้ประเทศของเราติดกับดักการพัฒนาและฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยอันดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2567 ที่จัดอันดับ 180 ประเทศ พบว่าไทยอยู่อันดับที่ 107

“กรุงเทพธุรกิจ”สัมภาษณ์  นายมานะ นิมิตมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการหาทางออกให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะกับดักที่เรียกว่า “คอร์รัปชัน”

นายมานะ กล่าวว่า สถานการณ์คอร์รัปชันตอนนี้ถือว่าวิกฤติมาก ไม่ใช่แค่ดูจากสถิติของคดีในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือเรื่องร้องเรียนไปที่รัฐบาลเท่านั้น แต่มองจากหน้าสื่อมวลชนหรือสิ่งที่ประชาชนได้รับรู้เป็นเครื่องสะท้อนได้เป็นอย่างดี 

ปัจจุบันคะแนนดัชนีคอร์รัปชันของไทยต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี อยู่อันดับที่ 107 ของโลก จาก 180 ประเทศ และเป็นอันดับ 5 ในอาเซียน ซึ่งถือว่าสถานการณ์ค่อนข้างน่ากังวล และการคอร์รัปชันในปัจจุบันไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ “โกงของหลวง” เท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการกระทำที่ทำให้บ้านเมืองเสียประโยชน์สาธารณะ 

รวมทั้งมีการนำประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว การมีผลประโยชน์ทับซ้อน การละเมิดมาตรฐานทางสังคมที่คนไทยรับไม่ได้ และการบิดเบือนตีความกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้อง หรือแม้แต่การซื้อขายตำแหน่ง

“ปัญหาเหล่านี้ฝังรากลึกและเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของทุกคน ตั้งแต่พ่อค้าแม่ค้าถูกเจ้าหน้าที่รัฐรีดไถ ไปจนถึงบริษัทใหญ่ที่โกงผู้ถือหุ้นและลูกค้า เรายังเห็นการโกงในวัด องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โรงเรียน รัฐบาล และกระทรวงต่างๆ มากมาย"

สำหรับสิ่งที่น่าเศร้าและสะเทือนใจที่สุดในปี 2568 คือ คอร์รัปชันทำให้คนตาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีตึกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สตง.) ถล่มที่มีคนตายเกือบ 100 คน หรือเครื่องบินตำรวจตก 2 ลำในเวลา 30 วัน ทำให้มีตำรวจเสียชีวิตถึง 9 นาย

ทั้งนี้ ปัญหาคอร์รัปชันวันนี้ถ้าไม่แก้ไขไม่ได้ เพราะมันจะทำให้ประเทศไทยติดกับดักมากมาย และจะทำให้คนไทยขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐ ต่อประเทศ และต่อสังคมไทย มันทำลายระบบนิติธรรมหรือ Rule of Law ของประเทศ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม และนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมตามมา

ส่วนตอนนี้รูปแบบการทุจริตมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เชิงนโยบายที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย เพราะนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายหรือใช้อำนาจที่มีอยู่ในการบิดเบือน เช่น การฮั้วประมูล การล็อกสเปก ทำให้คนไทยซื้อของแพง ได้ของไม่ดี หรืออย่างกรณีเสาไฟกินรีที่ยังคงทำกันอยู่ 

 

“การคอร์รัปชันยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นหวย บ่อน ซ่อง ยาเสพติด การพนันออนไลน์ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต”

นอกจากนี้สิ่งที่น่ากังวลคือการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดความน่าเชื่อถือ กฎหมายและบทลงโทษมีความเข้มงวดอยู่แล้ว แต่มีการช่วยเหลือกันในการตัดสินคดีความ การดึงเรื่อง และการลดโทษในขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะสำหรับคนใหญ่คนโตที่ได้รับสิทธิพิเศษหรือเป็น “นักโทษ VIP” ทำให้ประชาชนเอือมระอาและไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม 


ฝ่ากับดักคอร์รัปชัน ‘ไทย’ ผู้นำประเทศต้องเอาจริง - ประชาชนต้องตื่นตัว

รวมทั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็ยังขาดความน่าเชื่อถือ ประชาชนตั้งคำถามถึง ป.ป.ช. , สตง. รวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ ปปง. ว่ามีปัญหาเรื่องการทุจริตภายใน การทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือการตัดสินใจที่ไม่ได้มาตรฐาน ป.ป.ช. เองก็มีคดีค้างอยู่ประมาณ 11,000 คดี และมีเรื่องร้องเรียนใหม่เข้ามามากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 11,800 กว่าคดีในปีล่าสุด

สาเหตุหลักที่ประเทศไทยยังไม่สามารถออกจากวงจรคอร์รัปชันได้คือ ผู้นำประเทศที่ผ่านมาไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการต่อต้านและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน แม้จะมีแผนหรือยุทธศาสตร์ชาติ แต่ในทางปฏิบัติมักเปลี่ยนแปลงไปมาและไม่มีหน่วยงานใดเอาจริงเอาจัง 

“การที่ผู้นำบางคนพูดถึงเป้าหมายการจัดอันดับ CPI โดยไม่มีแผนงานที่ชัดเจน สะท้อนถึงการขาดความรับผิดชอบ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐมักลอยนวลและไม่แสดงความรับผิดชอบอย่างแท้จริง”

นอกจากนี้สิ่งสำคัญ คือ การคอร์รัปชันยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติ โดยนักธุรกิจต่างชาติประเมินว่าการลงทุนในไทยมีความเสี่ยงสูง และจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศไทยยังขาดธรรมาภิบาล และการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

สำหรับทางออกของประเทศในการร่วมกัน “ฝ่ากับดักคอร์รัปชัน” เห็นว่าการแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจังและยั่งยืนต้องเริ่มต้นจากผู้นำสูงสุดของประเทศ และไล่ระดับลงมาถึงผู้นำในกระทรวงและกรมต่างๆ 

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่รัฐบาลและภาครัฐควรทำคือ “การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ” ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการใช้งบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้อำนาจดุลพินิจ หรือนโยบายสาธารณะ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีโดยแทบไม่มีต้นทุน เพราะภาครัฐมีระบบไอทีที่ดีอยู่แล้ว การเปิดเผยข้อมูลจะทำให้สังคมสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้

ขณะที่ในส่วนของภาคประชาชน ถือว่ามีความสำคัญที่สุดคือ “ความตื่นตัว” ประชาชนต้องคอยสังเกตและส่งเสียงเมื่อพบความผิดปกติหรือการทุจริตในชุมชน เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ประชาชนใช้ในการแชร์ข้อมูลและร้องเรียนไปแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น เพจ “หมาเฝ้าบ้าน”, “ต้องแฉ”, “Strong คิดทำทิ้ง” 

หรือแม้แต่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (CDC) ของ ป.ป.ช. นอกจากนี้ ยังมีเว็บไซต์อย่าง Act Ai ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และเว็บไซต์ “ภาษีไปไหน” ที่ช่วยให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลภาครัฐได้ลึกขึ้น

"พลังของประชาชนคือการร่วมกันตรวจสอบ เมื่อหน่วยงานรัฐเปิดเผยข้อมูล ประชาชนจะตัดสินใจได้ว่ามีทุจริตหรือไม่ และการทำงานของหน่วยงานคุ้มค่าเงินเดือนและอำนาจที่ได้รับหรือไม่ คนไทยฉลาดพอที่จะประเมินข้อมูลนี้ได้ และหากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนภาคประชาชนจะเกิดพลังแก้ไขปัญหาประเทศได้เร็วขึ้นและไม่ควรปิดบังข้อมูล หรือข่มขู่คุกคามประชาชนที่เปิดโปง”

ยกตัวอย่างการสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบและคุณธรรมเป็นสิ่งจำเป็นที่เรียนรู้จากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมคอร์รัปชัน เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย โดยผู้นำและเจ้าหน้าที่ต้องแสดงความรับผิดชอบและละอายต่อการกระทำผิด 

นอกจากนี้ การสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่ซื่อสัตย์ทั้งในภาครัฐและภาคธุรกิจจะช่วยสร้างค่านิยมที่ไม่ยอมรับการทุจริต โดยภาคเอกชนต้องรวมตัวกันต่อต้านคอร์รัปชันได้เช่นกัน

ท้ายที่สุดแล้วค่านิยมสำคัญสุดคือ “อย่าปล่อยให้คนโกงครองเมือง” ทุกเสียงของประชาชน แม้จะเล็กน้อย ก็ล้วนมีคุณค่าและสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

หากเราร่วมกันปฏิเสธคนโกง นักการเมืองที่โกงก็จะอยู่ไม่ได้ การคอร์รัปชันเป็นตัวฉุดรั้งอนาคตของประเทศ แต่สามารถปราบได้ ควบคุมได้ และทำให้ลดน้อยลงได้ หากอาศัยความเข้าใจและความตื่นตัวของภาคประชาชน