นโยบายเศรษฐกิจที่ 'รัฐบาลชั่วคราว' ควรทำในมุมมอง 'สมชัย จิตสุชน'

“สมชัย” จับตารัฐบาลชั่วคราวอัดประชานิยมก่อนเลือกตั้งใหม่ แม้เสี่ยงถูกตีความทางกฎหมายว่ามีอำนาจหรือไม่ แนะรัฐบาลวางแผนรับมือผลกระทบจากภาษีทรัมป์
KEY
POINTS
- “สมชัย จิตสุชน” คาดที่เข้ามาบริหารระยะสั้นใช้นโยบายประชานิยมก่อนเลือกตั้งใหม่
- แนะรัฐบาลวางแผนรับมือผลกระทบจากภาษีทรัมป์ เร่งสร้างความชัดเจนถิ่นกำเนิดสินค้า
- เดินหน้าสร้างเชื่อมั่น ผลักดันให้คำขอบีโอไอให้มีการลงทุนจริง
- มุ่งเน้นการสร้างโอกาสให้ประเทศในระยะต่อไป
เงื่อนไขการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ที่ต้องอาศัยเสียงโหตจากสส.พรรคประชาชน ทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เป็น "รัฐบาลชั่วคราว" ก่อนเดินหน้าไปสู่การยุบสภาฯภายใน 4 เดือน นับจากวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
โดยล่าสุดที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 5 ก.ย.2568 มีมติของสส.จำนวนเกินกว่ากึ่งหนึ่งโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรี
นายสมชัย จิตสุชนผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยในส่วนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจว่าการที่รัฐบาลใหม่เข้าบริหารงานโดยมีเงื่อนไขในการยุบสภาฯเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งภายใน 4 เดือน โดยรัฐบาลที่เข้ามาทำหน้าที่ในระยะสั้นเป็นรัฐบาลชั่วคราว หรือหากมีการยุบสภาฯจะเป็นรัฐบาลรักษาการเพื่อรอเลือกตั้งใหม่มีทั้งนโยบายที่ควรทำทางเศรษฐกิจและเรื่องที่ไม่ควรทำ
โดยเรื่องที่ไม่ควรทำนั้นเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับประชานิยมที่มุ่งหวังที่จะใช้งบประมาณจากเงินภาษีเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองที่บริหารงานในช่วงเวลานี้ก็คงจะรู้ดีว่าคะแนนความนิยมทางการเมืองของพรรคที่เป็นรัฐบาลไม่ได้สูงนัก การใช้นโยบายประชานิยมเพื่อเพิ่มคะแนนความนิยมทางการเมืองก็คงเกิดขึ้น โดยอาจเป็นรูปแบบนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
“เชื่อว่ารัฐบาลจะเลือกใช้อำนาจเต็มมือเพื่อออกนโยบายที่ใช้งบประมาณได้ โดยเลือกนโยบายที่ไม่ต้องผ่านสภาฯที่คุมเสียงไม่ค่อยได้ นโยบายที่ต้องผ่านกฎหมายในสภาฯแบบนี้ก็คงตกไปก่อน” นายสมชัย กล่าว
แนะเร่งรับมือผลกระทบภาษีทรัมป์
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลชั่วคราวควรมีการเดินหน้าคือในส่วนที่เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯที่มีขั้นตอนต้องหารือกันต่อซึ่งก็อยู่ในเรื่องที่รัฐบาลในขณะนั้นต้องมีการทำงานต่อเนื่องแม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องศาลสูงของสหรัฐฯที่จะต้องพิจารณาอำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ว่ามีอำนาจเรียกเก็บภาษีประเทศต่างๆหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และเกษตรกรไทย ที่จะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษี 19% ของสหรัฐ
ในขณะนี้มีหลายกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบที่ชัดเจนเช่นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ โดยแม้ว่าจะมีการเตรียมงบประมาณจำนวนหนึ่งไว้รองรับแล้วแต่ก็อาจจะไม่พอ รัฐบาลที่เข้ามาทำงานก็ต้องเตรียมงบประมาณบางส่วนจากงบประมาณรายจ่ายปี 2569 เพื่อใช้ในเรื่องนี้
แนะเร่งรับมือสินค้าเข้ามาสวมสิทธิ์สินค้าไทย
อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือการแก้ไขปัญหาเรื่องของสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่มีแนวโน้มจะไหลเข้าประเทศไทยมากขึ้นจากการที่หลายประเทศ โดยเฉพาะจีนถูกมาตรการภาษีจากสหรัฐทำให้มีสินค้าสวมสิทธิ์ที่จะทะลักไปยังประเทศต่างๆมากรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลต้องมีการแสดงความจริงจังในการปราบปรามสินค้าสวมสิทธิ์ และมีการทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส เพื่อยื่นยันว่าสินค้าสิ่งออกของเรามีสัดส่วนของชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศเป็น Local Content ในสัดส่วนเท่าไหร่ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อตกลงที่เราได้หารือกับสหรัฐ
นอกจากนี้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นโอกาสของประเทศไทยก็คือการย้ายฐานการผลิตที่เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้น ที่ถือว่าเป็นบวกกับเศรษฐกิจไทย ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลก็ควรหาทางที่จะดึงการลงทุนทางตรง (FDI) เข้าประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีสัญญาณที่เป็นบวกต่อเนื่องคือมีคำขอส่งเสริมการลงทุนจำนวนมากที่ยื่นมายังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนจริงๆในไทยก็จะสร้างโอกาสเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศไทยได้







