ชาวนา”ห่วง“การเมือง”ป่วนรัฐไร้แผนดูแล ผวาอินเดียเทข้าว20ล้านตันทำราคาดิ่งหนัก

ชาวนาขอรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ สวนทางต้นทุนการผลิตสูง หวังให้ตั้งรัฐบาลใหม่ได้โดยเร็ว ไม่ว่าจากการจับขั้วรอบนี้หรือยุบสภาเพื่อเลือกตั้ง ระบุ ยิ่งช้า ปัญหาเกษตรกรยิ่งยืดเยื้อ ด้านผู้ส่งออก ห่วงอินเดียระบายข้าว 20 ล้านตันในก.ย.นี้ ทำราคาดิ่งหนัก
สถานการณ์การเมืองที่ยังสับสนบนทางแยกระหว่างการจัดตัั้งรัฐบาลทีี่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำและมีนายอุนทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีได้ทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกายุบสภาแล้ว ทำให้การดูแลเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนาที่ผลผลิตนาปีใกล้ออกสู่ตลาดและผลพยากรณ์ยังชี้ว่าปีนี้ ผลผลิตจะมากกว่าที่ผ่านมา
นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยว่า ไม่สนใจขั้วการเมือง ใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ ขอเพียงให้สนใจแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาที่มีปัญหารุมเร้าทั้งราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง แหล่งน้ำไม่เพียงพอ และขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ
“ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว จากการจับขั้วการเมืองในขณะนี้เลยหรือยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ แต่ขอให้รัฐบาลต่อไปคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถและเข้าใจเกษตรกรมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดอนาคตชาวนาไทย ถ้าชาวนา 17 - 18 ล้านครัวเรือนอยู่ไม่รอด ก็ไม่มีรัฐบาลไหนอยู่รอด”
ชาวนาแบกต้นทุน4,300-4,700บาทต่อไร่
ข้อมูลจากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่าต้นทุนการทำนาปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 4,300-4,700 บาทต่อไร่ โดยปีนี้ไม่มีต้นทุนด้านการจัดการน้ำเนื่องปริมาณน้ำเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนด้านอืื่นๆโดยเฉพาะปุ๋ยยังคงเป็นต้นทุนหลักและอยู่ในระดับราคาที่สูง
รายงานข่าวจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า การผลิต ข้าวนาปี 2568/69 คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิ.ย.2568 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.946 ล้านไร่ ผลผลิต 27.226 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 440 กิโลกรัม
จากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ปรากฎการณ์ ENSO ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของไทย ณ เดือนพ.ค. 2568 พบว่า ปรากฎการณ์ ENSO มีสถานะเป็นกลางกล่าวคือ คาดว่าในช่วงเดือนมิ.ย.ถึง ส.ค.2568 ปริมาณฝนบริเวณประเทศไทยมีค่าใกล้เคียงกับค่าปกติทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก และการเจริญเติบโตของต้นข้าว
ผลผลผลิตบุกตลาด ก.ค.68-พ.ค. 69
ประกอบกับปีนี้ไม่ประสบฝนทิ้งช่วงในต้นฤดูกาลเพาะปลูก และคาดว่าไม่ประสบ อุทกภัยใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวเหมือนปีที่แล้ว ส่งผลให้ผลผลิตภาพรวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้น คาดการณ์ผลผลิตจะออกสู่ตลาดช่วงเดือนก.ค. 2568 - พ.ค.2569
โดยในเดือนส.ค.2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 1.977 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็น7.26% ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนพ.ย. 2568 ปริมาณรวม 17.375 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็น 63.82 %ของผลผลิต ข้าาวนาปีทั้งหมด
ส่วนข้าวนาปรัง ปี 2568 มีเนื้อที่เพาะปลูก 13.137 ล้านไร่ ผลผลิต 8.587 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 654 กิโลกรัม โดยเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณฝนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปี 2567ส่งผลให้ปริมาตรน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีเพียงพอ ต่อการจัดสรรน้ำให้ทำการเกษตรเพิ่มขึ้น รวมถึงปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติส่วนใหญ่สูงกว่าปีที่แล้ว เกษตรกรบางส่วนปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม และในบางพื้นที่สามารถเพาะปลูกข้าวนาปรังได้ 2 รอบ รวมทั้งเกษตรกรคาดว่าภาครัฐฯ มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 จึงจูงใจให้เกษตรกร ขยายเนื้อที่เพาะปลูกทั้งในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน
ราคาข้าวยังลดลงอย่างต่อเนื่อง
ด้านราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิสัปดาห์นี้(25 – 31 ส.ค. 2568) เฉลี่ยตันละ 14,782 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,805 บาท ในสัปดาห์ก่อน 0.16% ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 6,587 บาท ราคาลดลงจากตันละ 6,705 บาทในสัปดาห์ก่อน1.76%
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การค้าข้าวโลก มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย โดยเฉพาะจากการที่อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าว อันดับ 1 ของโลก เตรียมระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลประมาณ 20 ล้านตัน ภายในเดือนก.ย. 2568 เพื่อจัดสรร พื้นที่สำหรับการเก็บสต็อกข้าวฤดูกาลใหม่ที่รัฐบาลอินเดียจะรับซื้อจากเกษตรกร
อินเดียเท20ล้านตันฉุดราคาข้าวโลก
การระบายสต็อกข้าวดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ผลิตเอทานอล การจัดสรรเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และการจำหน่ายผ่านตลาดทั่วไป ให้แก่ผู้ค้าข้าว ซึ่งปริมาณข้าวที่จะเข้าสู่ระบบจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อราคาข้าวในตลาดโลก ให้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปลายปี 2567 ที่รัฐบาลอินเดียได้ประกาศยกเลิกมาตรการห้ามสงออกข้าวในกลุ่มข้าวขาว ส่งผลให้ ปริมาณอุปทานข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้นและราคาข้าวของประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงมีความกังวลว่าเมื่อผลผลิตข้าวนาปีของไทยทยอยออกสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2568 ราคาจะปรับตัวลดลงอีก หากอินเดียสามารถระบายข้าวในสต็อกได้ตามเป้าหมายที่ 20 ล้านตันจริง
สำหรับอินเดียตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวทั้งปี 23 ล้านตัน เพิ่มจาก 17 ล้านตัน ในปี 2567 สำหรับเวียดนาม คาดจะส่งออกได้ 9 ล้านตัน ขณะที่ไทยตั้งเป้าหมายได้ ที่7.5 ล้านตัน ซึ่งมีแนวโน้มว่าไทยจะอยู่ในอันดับที่3 รองจาก อินเดีย และเวียดนาม จากสถานการณ์ดังกล่าว เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจัดเตรียมมาตรการ รองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อราคาข้าวในประเทศและความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก อย่างเร่งด่วน







