การเมืองคลุมเครือฉุดเศรษฐกิจ รัฐบาลชั่วคราว ‘ไม่ใช่ทางออก’

การเมืองคลุมเครือกระทบเศรษฐกิจ อย่างน้อย 4 เดือน นักธุรกิจไม่กล้าลงทุน “สมชัย” จับตารัฐบาลชั่วคราว อัดประชานิยมก่อนเลือกตั้งใหม่ แม้เสี่ยงถูกตีความทางกฎหมาย แนะวางแผนรับมือผลกระทบภาษีทรัมป์ กกร.ชี้ การเมืองเพิ่มแรงกดดันเศรษฐกิจ ระบุมีรัฐบาลอายุสั้นชั่วคราวไม่ใช่ทางออกประเทศ ห่วงเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า
KEY
POINTS
- กกร. แสดงความกังวลอย่างหนักว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยชะงักงัน และมองว่ารัฐบาลรักษาการที่มีวาระสั้นๆ ไม่ใช่ทางออก
- TDRI ชี้ว่าสถานการณ์การเมืองมี 2 ฉากทัศน์ คือ ยุบสภา หรือมีรัฐบาลใหม่ในเงื่อนไขยุบสภาใน 4 เดือน ซึ่งจะนำไปสู่รัฐบาลรักษาการที่อาจใช้นโยบายประชานิยมเพื่อสร้างคะแนนนิยม
- ประธาน ส.อ.ท. ระบุ การเมืองที่ไร้เสถียรภาพกระทบโดยตรงต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ที่เบิกจ่ายได้เพียง 50% ต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจ
- ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลอาจทำให้การเจรจาการค้าที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงภาษีกับสหรัฐ สะดุดลงได้ เพราะไม่มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีอำนาจเต็มในการดำเนินการ
- ภาคเอกชนต้องการความชัดเจนทางการเมือง และรัฐบาลที่มีเสถียรภาพโดยด่วน เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญหลายอย่างต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนระยะยาว
สถานการณ์การเมืองไทยอยู่ในช่วงพลิกผันหลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำมาสู่การทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ในการสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาล ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเดินเกมยุบสภา
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สำหรับมุมมองต่อสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน และอนาคตนั้น ยังไม่ทราบผลลัพธ์ว่าจะออกมาอย่างไร หลังจากพรรคประชาชนได้ลงคะแนนโหวตให้กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยไปแล้ว และพรรคเพื่อไทยกำลังพยายามยุบสภาดังนั้นต้องรอดูผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
สำหรับสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือไม่นั้นมองว่า มีผลต่อเศรษฐกิจแน่นอน ซึ่งการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมานานแล้ว และแน่นอนว่าเศรษฐกิจจะต้องได้รับผลกระทบอยู่แล้ว
“ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมีอยู่แล้ว และปัจจัยการเมืองก็เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมานานแล้ว และภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือการลงทุนหยุดชะงักไปหมดแล้ว และอย่างน้อย 4 เดือนนี้ คนก็ไม่กล้าลงทุน” นายบรรยง กล่าว
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการ วิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สถานการณ์การเมืองไทยแบ่งเป็น 2 ฉากทัศน์ คือ 1.การยุบสภา 2.มีรัฐบาลใหม่เข้าบริหารงานโดยมีเงื่อนไขในการยุบสภาภายใน 4 เดือน
ทั้งนี้ รัฐบาลที่เข้ามาทำหน้าที่ระยะสั้นเป็นรัฐบาลชั่วคราวหรือหากยุบสภาฯ จะเป็นรัฐบาลรักษาการเพื่อรอเลือกตั้งใหม่ ซึ่งมีทั้งนโยบายที่ควรทำทางเศรษฐกิจ และเรื่องที่ไม่ควรทำ
สำหรับนโยบายที่ไม่ควรทำเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับประชานิยมที่มุ่งใช้งบประมาณจากเงินภาษีเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองที่บริหารงานช่วงนี้คงรู้ดีว่าคะแนนความนิยมทางการเมืองของพรรคที่เป็นรัฐบาลไม่ได้สูงนัก การใช้นโยบายประชานิยมเพื่อเพิ่มคะแนนความนิยมทางการเมืองก็คงเกิดขึ้น โดยอาจเป็นรูปแบบนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
“แม้ว่าจะมีการยื่นตีความทางกฎหมายว่าอำนาจที่มีของรัฐบาลในกรณีที่มีการยุบสภาจะอนุมัติงบประมาณได้แค่ไหน แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะเลือกใช้อำนาจเต็มมือเพื่อออกนโยบายที่ใช้งบประมาณได้ โดยเลือกนโยบายที่ไม่ต้องผ่านสภาที่คุมเสียงไม่ค่อยได้ อย่างนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่ต้องผ่านกฎหมายในรัฐสภาแบบนี้ก็คงตกไปก่อน” นายสมชัย กล่าว
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลชั่วคราวควรเดินหน้า คือ ผลกระทบต่อเนื่องจากการเจรจาภาษีกับสหรัฐที่มีขั้นตอนต้องหารือกันต่อ ซึ่งรัฐบาลขณะนั้นต้องทำงานต่อเนื่องแม้มีประเด็นศาลสูงสหรัฐจะพิจารณาอำนาจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่ามีอำนาจเรียกเก็บภาษีกับแต่ละประเทศหรือไม่ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และเกษตรกรไทยที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีของสหรัฐ
ขณะนี้มีหลายกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบที่ชัดเจน เช่น เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ โดยแม้ว่าจะมีการเตรียมงบประมาณจำนวนหนึ่งไว้รองรับแล้วแต่ก็อาจจะไม่พอ รัฐบาลที่เข้ามาทำงานก็ต้องเตรียมงบประมาณบางส่วนจากงบประมาณรายจ่ายปี 2569 เพื่อใช้ในเรื่องนี้
ส่วนอีกประเด็นที่สำคัญเป็นการแก้ไขปัญหาสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) ที่มีแนวโน้มไหลเข้าไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่หลายประเทศ โดยเฉพาะจีนถูกมาตรการภาษีจากสหรัฐทำให้มีสินค้าสวมสิทธิทะลักไปหลายประเทศรวมถึงไทย
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องแสดงความจริงจังในการปราบปรามสินค้าสวมสิทธิ และทำให้โปร่งใส เพื่อยืนยันว่าสินค้าไทยใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศเป็น Local Content สัดส่วนเท่าไร ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อตกลงที่ไทยหารือกับสหรัฐ
นอกจากนี้ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นโอกาสของไทยอยู่ที่การย้ายฐานการผลิตที่มีแนวโน้มเกิดขึ้น และเป็นบวกกับเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลควรหาทางดึงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยที่ผ่านมามีสัญญาณเป็นบวกต่อเนื่อง
รวมทั้งมีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวนมากยื่นมายังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากรัฐบาลขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนจริงจะสร้างโอกาสเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศได้
การเมืองเพิ่มแรงกดดันเศรษฐกิจ
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้ประชุมติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2568 โดยได้มีการประเมินสถานการณ์การเมืองที่มีผลต่อเศรษฐกิจในระยะถัดไป
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยเศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัว 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1 โดย กกร.ได้ประเมินเศรษฐกิจปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
“ปัจจัยการเมืองอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น” นายผยง กล่าว
รัฐบาลอายุสั้นไม่ใช่ทางออกประเทศ
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กกร.กังวลอย่างหนักถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับภาวะชะงักงัน ซึ่งมีสาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต้องการความชัดเจนทางการเมืองโดยด่วน ต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีความสามารถ เพื่อมาบริหารประเทศในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก การมีรัฐบาลรักษาการที่มีวาระสั้นๆ ไม่ใช่ทางออก เพราะนโยบายเศรษฐกิจสำคัญหลายอย่างต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนระยะยาว
ห่วงเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเมืองที่ไร้เสถียรภาพส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ซึ่งปัจจุบันเบิกจ่ายได้เพียง 50% ต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยทำได้ในอดีตถึง 60-70% ทำให้เม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจขาดหายไปอย่างน่าเป็นห่วง
“การเจรจาทางการค้าที่สำคัญ เช่น การเจรจาข้อตกลงเรื่องภาษีกับสหรัฐอาจสะดุดลงได้หากไม่มี ครม.มารับเรื่องเข้ารัฐสภา” นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การเมืองที่ยืดเยื้อ และหากปล่อยให้สถานการณ์ยิ่งขยายระยะเวลาออกไปจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจ และนักลงทุนรอดูท่าที (wait and see) ยาวนานขึ้น ซึ่งหากยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้งใหม่ หากคิดแบบไม่มีอะไรสะดุดไหลลื่นก็อาจจะใช้เวลาราว 6 เดือน แต่หากในกรณีเลวร้ายอาจใช้เวลาถึง 9-10 เดือน กว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจน จะส่งผลให้เศรษฐกิจไหลไปเรื่อยๆ ไม่เป็นอัตราเร่ง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







