สศค. ห่วง 7 ความเสี่ยงการคลัง กระทบจัดเก็บรายได้ อนาคตเศรษฐกิจ

สศค. ระบุ 7 ความเสี่ยงทางการคลัง ทั้งปัญหาแรงงานนอกระบบ ความเหลื่อมล้ำ สังคมสูงวัย การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานสะอาด กระทบต่อศักยภาพจัดเก็บรายได้รัฐบาลระยะยาว อาจนำไปสู่เศรษฐกิจไทยปรับตัวช้า
นายพรชัย ฐีรเวช ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2568 หัวข้อ “Fiscal Transformation : Shaping Policies for Sustainable Change ยกระดับนโยบายการคลังสู่ความหวังที่ยั่งยืน” ว่า โครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมทำให้การจัดเก็บภาษี และการจัดทำงบประมาณยังคงอยู่บนแพลตฟอร์มเดิม ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะบั่นทอนศักยภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในอนาคตในประเด็นต่างๆ ได้แก่
1.สัดส่วนแรงงานนอกระบบที่สูงไทยมีแรงงานจำนวนมากที่เป็นคนไทย แต่ไม่ได้ลงทะเบียนในระบบภาษีปัญหานี้สร้างความท้าทายอย่างยิ่งต่อรัฐในการประเมินรายได้ที่แท้จริงทำให้ประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีสำคัญอย่างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ไม่เป็นไปตามฐานภาษีที่ควรจะเป็น
2.ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และความมั่งคั่งปัญหานี้ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้มีรายได้น้อยส่วนใหญ่มักไม่อยู่ในฐานภาษี ขณะที่ผู้มีรายได้สูงก็มีช่องทางในการวางแผนภาษีผ่านการใช้สิทธิลดหย่อนต่างๆ เช่น การบริจาค ซึ่งอาจมีการโยกย้ายการบริจาคจากวัดไปสู่โรงพยาบาลมากขึ้น
3.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)เมื่อประชากรเข้าสู่วัยสูงอายุ ความสามารถในการเสียภาษี และรายได้จะลดลงตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน การจัดเก็บภาษีจากฐานทรัพย์สินซึ่งมักจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ ยังมีกระบวนการที่ไม่ทันสมัยเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
4.หนี้ครัวเรือนในระดับสูงปัญหาหนี้ครัวเรือนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการบริโภคของประชาชน เมื่อการใช้จ่ายลดลง ย่อมส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีที่อิงกับฐานการบริโภค เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีสรรพสามิตซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจปัจจุบันที่ภาคการบริโภคขยายตัวขึ้นจนมีสัดส่วนเกือบ 60% ของ GDP
5.การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และฐานการผลิต : การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม เช่น นโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้การจัดเก็บภาษีจากอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปเดิมลดลง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ เช่น การหันไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ก็ทำให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
6.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐตามไม่ทันเศรษฐกิจดิจิทัลการค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว แซงหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของภาครัฐทำให้กระบวนการจัดเก็บภาษีอาจตามไม่ทันส่งผลให้เม็ดเงินภาษีที่ควรจัดเก็บได้จากธุรกรรมดิจิทัลอาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้ว่ากรมสรรพากรจะพยายามติดตามอยู่ก็ตาม
7.ความเสี่ยงด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมแนวโน้มของโลกที่มุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาด และการลดลงของทรัพยากรฟอสซิล ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล เช่น ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และภาษีน้ำมันซึ่งแม้จะมีความพยายามในการหาภาษีอื่นมาทดแทน แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด 100%
นายพรชัย กล่าวต่อว่า ความเสี่ยงที่กล่าวถึงข้างต้นส่งผลกระทบต่อระดับการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความยั่งยืนทางการคลัง แม้ปัจจุบันการขาดดุลของไทยยังอยู่ที่ระดับ 4% ยังไม่ถึงขั้นส่งสัญญาณเตือนภัย แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าระดับที่เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพหนี้ที่ควรจะอยู่ที่ประมาณ 1-2% ขณะที่ศักยภาพการจัดเก็บรายได้ที่ยังไม่เพียงพอ อาจส่งผลทำให้การปรับตัวทางเศรษฐกิจของประเทศล่าช้าลงได้
“ดังนั้น การเพิ่มรายได้ของภาครัฐจึงเป็นโจทย์สำคัญหากรัฐสามารถเพิ่มรายได้ จะช่วยลดการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งหมายถึงการลดการก่อหนี้ใหม่เมื่อลดการก่อหนี้ได้ งบประมาณที่เคยต้องตั้งไว้เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ และดอกเบี้ยก็จะลดลง และสามารถนำงบประมาณส่วนนั้นไปจัดสรรในส่วนที่จำเป็นอื่นๆ เช่น ด้านสาธารณสุข หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไปได้”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







