"พิชัย" ย้ำเสถียรภาพการเมืองไม่กระทบเชื่อมั่น ไร้สัญญาณ FDI ย้ายฐาน

"พิชัย" เชื่อมั่นสถานการณ์การเมืองไม่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติ ชี้เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นและทุกฝ่ายเข้าใจธรรมชาติการเมืองไทย ยืนยันยังปฏิบัติหน้าที่เต็มที่เพื่อผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประเด็นสถานการณ์ทางการเมืองที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการลงทุนมองว่านักลงทุนต่างชาติมองว่าสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นถือเป็นธรรมชาติ และไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนรับรู้และเข้าใจดีว่าท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์จะสามารถหาทางลงตัวได้
รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองยังไม่ส่งผลต่อการถูกลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) เพราะคาดว่าหน่วนงานที่ประเมินยังสามารถประเมินสถานการณ์ได้
"การที่นักลงทุนจะตัดสินใจมาลงทุนนั้นใช้เวลาเป็นปี ไม่ใช่เพียงเดือนเดียว เมื่อเขาเลือกแล้วที่จะมาเมืองไทย เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากไปกว่านี้ ผมก็คิดว่าเขาคงไม่เปลี่ยนใจ และขณะนี้เองยังไม่ได้รับสัญญาณเชิงลบใดๆ จากนักลงทุน"
เมื่อถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงภาวะสุญญากาศทางการเมือง นายพิชัย กล่าวอย่างชัดเจนว่า ตัวผมยังไม่ได้ใช้คำว่ารักษาการและยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามปกติ โดยจะเดินหน้าผลักดันเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศต่อไป แม้หากมีการยุบสภาเกิดขึ้น ก็ยังปฏิบัติหน้าที่รัฐบาลรักษาการ รวมถึงเรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐตราบใดที่ยังไม่เป็นการสร้างข้อผูกพันที่เกินขอบเขตอำนาจ
"การเจรจาต่างๆ ยังไม่ได้เป็นการผูกพันรัฐบาลในทันที แต่เป็นการทำงานเพื่อหาข้อยุติที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งหลายประเด็นก็ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภาฯ อยู่ดี"
ทั้งนี้ การปฏิบัติหนน้าที่ครม. นั้นการตัดสินใจขึ้นอยู่กับความเร่งด่วน เรื่องใดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศก็จะพิจารณาดำเนินการต่อ แต่หากเป็นเรื่องระดับนโยบายที่ไม่เร่งด่วนและสามารถรอได้ ก็จะรอไปก่อน
ส่วนประเด็นการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจ นายพิชัยมองว่าการคาดการณ์ของภาคเอกชนที่ว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังอาจโตเพียง 1% นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ยังคงเชื่อมั่นในเป้าหมายเดิม และจะพยายามทำให้ได้ถึง 2.5% บนพื้นฐานของการผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริงและไม่มีอุปสรรคสำคัญเข้ามาสะดุด
โค้งสุดท้าย ดันกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ 99 ปี
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ร่างกฎหมายให้สิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดิน 99 ปี หรือกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ ร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว รอเพียงเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นนโยบายสำคัญที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพที่ดิน กระตุ้นการลงทุน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต
หลักการสำคัญของกฎหมายคือ การแยกความเป็นเจ้าของ (Ownership) ออกจากสิทธิในการใช้ประโยชน์ (Right of Use) โดยเจ้าของที่ดินจะยังคงถือครองโฉนดครุฑสีแดงตามเดิม แต่สามารถโอนสิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินในระยะยาวให้แก่นักลงทุนหรือผู้ที่ต้องการพัฒนาที่ดินได้
"การทิ้งที่ดินไว้เฉยๆ ถือเป็นภาระ แต่ถ้าสามารถหยิบมาใช้ประโยชน์ได้ ก็จะกลายเป็นสมบัติของชาติ" นายพิชัยกล่าว
นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การลงทุนในหลายธุรกิจต้องการระยะเวลาเช่าที่ยาวนานกว่า 30 ปี อาจยาวถึง 100 หรือ 200 ปี ดังนั้น การให้สิทธิใช้ประโยชน์ที่ดินนานถึง 99 ปี จะสร้างความมั่นคงและแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่ โดยผู้ได้รับสิทธิจะมีความคล่องตัวเสมือนเป็นเจ้าของ สามารถนำสิทธินั้นไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือนำไปให้เช่าช่วงเพื่อพัฒนาร่วมกับผู้อื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้าของที่ดินเดิม
สำหรับกลไกการดำเนินการในกรณีที่เป็นที่ดินของเอกชนนั้น จะกำหนดให้เจ้าของที่ดินและผู้ซื้อสิทธิต้องทำการโอนที่ดินนั้นให้เป็นของรัฐก่อน จากนั้นในวันเดียวกัน รัฐจะออกเอกสารสิทธิ์ที่เรียกว่า "โฉนดสีเขียว" เพื่อให้สิทธิการใช้ประโยชน์แก่ผู้ซื้อเป็นเวลา 99 ปี และเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว ที่ดินผืนดังกล่าวจะตกเป็นของรัฐโดยสมบูรณ์ ซึ่งในระยะยาวจะทำให้รัฐมีที่ดินในครอบครองเพิ่มขึ้นและสามารถวางผังเมือง (Zoning) ของประเทศใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้แม้จะสถานการณ์การเมืองยังไม่แน่นอน นายพิชัย กล่าวว่า หากกฎหมายนี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามาบริหารก็จะผลักดันนโยบายนี้ต่อไป







