"ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์" ในความเปลี่ยนแปลง

ไทยปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มายาวนานจนเคยเป็นธัญพืชส่งออกรองจากข้าว แต่เมื่อปศุสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยเติบโตขึ้น ข้าวโพดที่ผลิตได้เกือบทั้งหมดถูกนำมาใช้ผลิตอาหารสัตว์
ในระยะหลังไทยจึงกลายเป็นผู้นำเข้าข้าวโพด
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานว่าไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 6-7 ล้านไร่ ผลผลิต 4-5 ล้านตันต่อปี และนำเข้าข้าวโพด 1-2 ล้านตันต่อปี (ซึ่งปลอดภาษีตามข้อตกลง AFTA โดยในปีหลังๆ ประมาณ 90% นำเข้าจากเมียนมา)
และมีการนำเข้าพืชอื่นมาทดแทน เช่น ข้าวสาลีและกากถั่วเหลือง (แต่ตั้งแต่ปลายปี 2559 ผู้นำเข้าข้าวสาลีต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 เท่าของปริมาณนำเข้า) เมื่อรวมกันแล้ว จะได้ตัวเลขที่ใกล้เคียง (แต่ต่ำกว่า) ที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ระบุว่ามีความต้องการใช้ข้าวโพดปีละ 8-9 ล้านตัน เล็กน้อย
ข้าวโพดต่างกับพืชไร่อย่างอ้อยและมันสำปะหลัง โดยข้าวโพดเป็นพืชอายุสั้นเพียง 4 เดือน และปกติการปลูกต้องมีน้ำดีและสม่ำเสมอ การเปลี่ยนจากพืชอื่นมาปลูกข้าวโพดจึงทำได้ยาก แม้ในช่วงที่ข้าวโพดราคาดี ข้าวโพด 90% ปลูกในรุ่นที่ 1 ในฤดูฝน
ในปี 2567 พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเขตชลประทานมีเพียง 0.24 ล้านไร่ หรือ 3.7% ของพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งสองในสามของพื้นที่เป็นการปลูกรุ่น 2 ในหน้าแล้ง
ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนให้ปลูกข้าวโพดหลังนา แต่เกษตรกรในเขตชลประทานก็ไม่ค่อยสนใจมากนัก ที่ผ่านมา พื้นที่ปลูกข้าวโพดเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 12 ล้านไร่ในปี 2528 แล้วค่อยๆ ลดลงเหลือ 6.3 ล้านไร่ในปี 2550 แล้วขึ้นๆ ลงๆ ระหว่าง 6-7 ล้านไร่มาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่พื้นที่ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังยังเพิ่มขึ้นหรือขึ้นลงตามราคา
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นข้อจำกัดในการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดในไทย ซึ่ง สศก. ก็ระบุว่าพื้นที่ปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งคงรวมพื้นที่ป่าหรือที่สูงในภาคเหนือและตามแนวชายแดนเมียนมาและลาว บางส่วนเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ เสี่ยงต่อการพังทลายของดิน และใช้วิธีเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยวเพื่อเตรียมปลูกรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและต้นทุนต่ำ
แต่ก่อปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน กระทบสุขภาพ และอาจกลายเป็นประเด็นการค้าระหว่างประเทศ และถึงแม้ว่าผู้ซื้อบางรายจะเลิกซื้อข้าวโพดที่มีการเผาในประเทศ แต่ข้าวโพดที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านก็มีความเสี่ยงที่ปลูกด้วยกระบวนการที่สร้างปัญหา PM2.5 กับประเทศไทยเช่นกัน
กรณีข้าวโพดมีความซับซ้อนมากขึ้น จากที่ไทยเพิ่งทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้ให้รายละเอียด แต่คาดว่าจะนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐจำนวนมากในราคาต่ำกว่าข้าวโพดไทยและเพื่อนบ้าน แต่จะเป็นข้าวโพดที่ไม่ก่อปัญหา PM 2.5 ในไทย
ถึงแม้ข้าวโพดนำเข้าจากสหรัฐ คงเป็นข้าวโพดตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) แต่ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมายังไม่พบปัญหาสุขภาพที่ชัดเจนจากข้าวโพด GMO ทำให้โดยทั่วไปแล้วข้าวโพด GMO ก็ยังได้รับการยอมรับในด้านความปลอดภัยทางอาหาร
นอกจากนี้ การที่เทคโนโลยี GMO ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ทำให้ถึงแม้การตัดต่อบางยีนอาจไม่ช่วยเพิ่มผลผลิตโดยตรง (เช่น การตัดต่อยีนที่ทำให้ข้าวโพดทนยาฆ่าหญ้า จะส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเกษตรกรลงทุนใช้ยาฆ่าหญ้า)
แต่การตัดต่อยีนข้าวโพดที่เพิ่มความสามารถในการกำจัดศัตรู และโรคพืชมักช่วยให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น และอาจช่วยให้คุณภาพข้าวโพดดีขึ้นด้วย
เพราะข้าวโพด GMO มักเสียหายจากแมลงและหนอนน้อยกว่า ทำให้โอกาสที่จะติดเชื้อราที่ผลิตอะฟลาทอกซิน (ซึ่งเคยเป็นปัญหาใหญ่ของการส่งออกข้าวโพดไทยในอดีต) ลดลง นอกจากนี้ ก็ยังมีการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO ที่ทนแล้ง แต่ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO ใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้มีคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นจากเมล็ดพันธุ์ลูกผสมพอสมควร (ถึงแม้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมของไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาและส่งออกไปหลายประเทศ)
เป็นเหตุให้เกษตรกรไทยบางส่วนเรียกร้องว่าในเมื่อรัฐบาลอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพด GMO เข้ามาแข่งกับข้าวโพดไทย รัฐบาลก็ควรอนุญาตให้เกษตรกรปลูกข้าวโพด GMO แข่งกับข้าวโพดนำเข้าด้วย
ในปัจจุบันผลผลิตข้าวโพดต่อไร่ของสหรัฐสูงกว่าไทยถึงเท่าตัว ที่ผ่านมา นักวิชาการไทยด้านนี้ก็แนะนำให้รัฐอนุมัติการใช้เทคโนโลยีการตัดต่อยีนในสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน (Genome Editing) เป็นอย่างน้อย เพื่อเป็นฐานให้ไทยสามารถพัฒนาไปแข่งขันกับเทคโนโลยี GMO ในอนาคต
ประเด็นสำคัญอื่น ๆ ที่รัฐบาลควรพิจารณา
1.การนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐ รัฐบาลอาจต้องปรับกติกาเรื่องโควตานำเข้า ภาษีในและนอกโควตา โดยควรปรับเป็นมาตรการสำหรับทุกประเทศมากกว่าไปตั้งกติกาเฉพาะเพื่อรองรับสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจถูกกล่าวหาได้ว่าเลือกปฏิบัติ
2.การจัดการผลกระทบจากการนำเข้า รัฐบาลไม่ควรใช้วิธีเดิม ๆ (เช่นเพิ่มโควตานำเข้า แล้วให้สิทธิ์เฉพาะ อคส. นำเข้าข้าวโพดส่วนนี้ ทั้งนี้ อคส. และรัฐบาลไม่ควรเข้ามาสู่ตลาดข้าวโพดเหมือนเป็นผู้เล่นรายใหญ่เสียเอง ข้าวโพดมีสินค้าทดแทนหลายชนิด (เช่น กากถั่วเหลือง กากข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ปลาป่น)
3.โรงงานอาหารสัตว์มักปรับสูตรอาหารตามราคาวัตถุดิบต่างๆ การแทรกแซงของรัฐกับแค่บางพืชจึงมีผลจำกัด และการแทรกแซงมากเกินไปก็จะเกิดผลกระทบทางลบต่ออุตสาหกรรมอื่น ข้าวโพดเป็นพืชที่ต้องระวังว่าการขยายการปลูกในพื้นที่ใหม่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สรุป ไทยเปลี่ยนจากผู้ส่งออกข้าวโพดมาเป็นผู้นำเข้าสุทธิ โดยเกษตรกรลดพื้นที่ปลูกลงตั้งแต่ 4 ทศวรรษก่อน และถึงแม้จะสามารถผลิตได้ 4-5 ล้านตันจากผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวใน 3 ทศวรรษ แต่ไทยก็คงไม่สามารถผลิตข้าวโพดได้พอความต้องการอย่างในอดีต
ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงไม่ควรหวังว่ารัฐบาลจะสามารถปกป้องเกษตรกร ที่ปลูกข้าวโพดไม่ให้ได้รับผลกระทบใดๆ เลย ขณะที่รัฐบาลก็ควรเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ที่อาจต้องย้ายไปประกอบอาชีพอื่นด้วย
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าพืชไร่ (มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ โดยมีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นที่ปรึกษาและศึกษาวิจัยโครงการฯ







