ดัชนีความผาสุกเกษตรกร แตะ 81.39 ภาคใต้ครองแชมป์ต่อเนื่อง

ดัชนีความผาสุกเกษตรกร แตะ 81.39 ภาคใต้ครองแชมป์ต่อเนื่อง

เปิด 5 มิติความสุขเกษตรกรไทยปี 67 อยู่ที่ระดับ 81.39 ภาคใต้ครองแชมป์ความสุข ชี้ สุขอนามัย และสังคมพัฒนาดีมาก แต่สิ่งแวดล้อม และการศึกษายังต้องเร่งเครื่อง

นายวินิต อธิสุข รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สศก. ในฐานะหน่วยงานวิเคราะห์นโยบายด้านการเกษตร ได้จัดทำดัชนีความผาสุกของเกษตรกรขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการชี้วัดความสำเร็จของการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร และเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของแผนปฏิบัติการด้านการเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2566 - 2570โดยดัชนีดังกล่าวครอบคลุมองค์ประกอบที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของเกษตรกร 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขอนามัย ด้านการศึกษา ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม

ดัชนีความผาสุกเกษตรกร แตะ 81.39 ภาคใต้ครองแชมป์ต่อเนื่อง ดัชนีความผาสุกเกษตรกร แตะ 81.39 ภาคใต้ครองแชมป์ต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมระดับประเทศใน ปี 2567 ดัชนีความผาสุกของเกษตรกรมีค่าที่ระดับ 81.39 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 80.79 สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับดี เมื่อพิจารณาในรายภูมิภาค พบว่าภาคใต้มีค่าดัชนีความผาสุกสูงสุดที่ระดับ 83.04 รองลงมาคือ ภาคเหนือ 82.07 ภาคกลาง 81.48 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 80.51 ซึ่งทุกภูมิภาคล้วนมีการพัฒนาอยู่ในระดับดีเช่นเดียวกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ด้านสุขอนามัยมีค่าดัชนีสูงถึง 99.87อยู่ในระดับ “ดีมาก” และใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เป็นผลจากพฤติกรรมการบริโภคของครัวเรือนเกษตรที่หันมาให้ความสำคัญต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น ประกอบกับนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ อาทิ โครงการปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ และการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรตามมาตรฐาน GAP เกษตรปลอดภัย และเกษตรอินทรีย์

ด้านสังคมมีค่าดัชนี 93.43 อยู่ในระดับ “ดีมาก” เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เป็นผลจากความสัมพันธ์อันดีของสมาชิกในครัวเรือนเกษตร ประกอบกับภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัย และจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะอาชีพที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ

ดัชนีความผาสุกเกษตรกร แตะ 81.39 ภาคใต้ครองแชมป์ต่อเนื่อง ดัชนีความผาสุกเกษตรกร แตะ 81.39 ภาคใต้ครองแชมป์ต่อเนื่อง

 

ด้านเศรษฐกิจมีค่าดัชนี 77.96 อยู่ในระดับ “ปานกลาง” แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยผลสำรวจพบว่า รายได้เงินสดสุทธิของครัวเรือนเกษตรในปี 2567อยู่ที่ 308,294 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.90 จากปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นทั้งใน และต่างประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว

ด้านสิ่งแวดล้อมมีค่าดัชนี 61.46 อยู่ในระดับ “ต้องปรับปรุง” และลดลงจากปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของพื้นที่เป้าหมายในการฟื้นฟูทรัพยากรดิน และสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ เนื่องจากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากไฟป่าที่เพิ่มขึ้น

ด้านการศึกษามีค่าดัชนี 56.30 แม้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับ “ต้องเร่งแก้ไข” เนื่องจากครัวเรือนเกษตรส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50.18เป็นผู้สูงวัย (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่าภาคบังคับ ทำให้ระดับการศึกษาในภาพรวมยังอยู่ในระดับต่ำ

เมื่อเปรียบเทียบกับค่าดัชนีในช่วงสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับก่อนหน้า โดยแผนฯ ฉบับที่ 10 (สิ้นสุดปี 2554) อยู่ที่ระดับ 76.97,แผนฯ ฉบับที่ 11 (สิ้นสุดปี 2559)อยู่ที่ระดับ 80.51,และแผนฯ ฉบับที่ 12 (สิ้นสุดปี 2565)อยู่ที่ระดับ 80.46 จะเห็นได้ว่าดัชนีความผาสุกของเกษตรกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาในด้านที่ยังต้องปรับปรุง ดังนี้

ด้านการศึกษาสนับสนุนให้เกษตรกรได้รับการศึกษาภาคบังคับอย่างทั่วถึง และส่งเสริมการฝึกอบรมทักษะด้านเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ โดยเฉพาะนวัตกรรมที่เหมาะสมกับเกษตรกรสูงวัย

ด้านสิ่งแวดล้อมส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ควบคู่กับการสนับสนุนการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจยกระดับรายได้ครัวเรือนเกษตรโดยส่งเสริมการผลิตสินค้าที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน และการให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการทางการเงิน เพื่อสร้างวินัย และส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจข้อมูลดัชนีความผาสุกของเกษตรกรเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ส่วนนโยบาย และแผนพัฒนาเกษตรกร และองค์กรเกษตรกร กองนโยบาย และแผนพัฒนาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โทร.0 2579 2816 ในวัน และเวลาราชการหรืออีเมล [email protected]

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์