นายกฯใหม่รับบทหนักแก้วิกฤติการเมือง-เศรษฐกิจ

พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งล่าสุด ทำให้ถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และประกาศจัดตั้งรัฐบาลทันทีที่ นางสาวแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง
    

ในขณะที่พรรคประชาชนกำลังเป็นตัวแปรสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยพรรคภูมิใจไทยได้หารือกับพรรคประชาชนตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.2568 พร้อมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนในการยุบสภา ภายใน 4 เดือน ในขณะที่พรรคเพื่อไทยได้มีการหารือกับพรรคประชาชนเมื่อวันที่ 31 ส.ค.2568

บนเงื่อนไขเดียวกัน โดยให้มีการจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 โดยอาจเป็นการทำประชามติไปพร้อมกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลังการยุบสภา

การที่พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวทำให้พรรคประชาชนกลายมาเป็นเงื่อนไขสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะเห็นสถานการณ์การเมืองที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะอยู่ในบริบทดังกล่าวที่ต้องบริหารสถานการณ์การเมืองไปพร้อมกับการบริหารประเทศ ซึ่งเงื่อนไขของพรรคประชาชนในการปูทางสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่และนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 หลายฝ่ายประเมินอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยเฉพาะการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลงเพราะตลาดส่งออกสหรัฐมีสัดส่วนเกือบ 20% ของการส่งออกไทยทั้งหมด ในขณะที่การท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงต่อเนื่องและต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้

นายกรัฐมนตรีคนใหม่จึงอยู่บนเงื่อนไขทั้งแรงกดดันทางการเมืองจากการจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงแรงกดดันจากการเตรียมการยุบสภาที่ต้องช่วงชิงคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่มีทั้งปัจจัยภายในและภาคนอกประเทศ

ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่อาจผลักดันนโยบายเรือธงได้ทั้งเงินดิจิทัล , แลนด์บริดจ์ , สถานบันเทิงครบวงจร , บ้านเพื่อคนไทยและรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จึงเป็นภารกิจที่หนักหน่วงสำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่