เพื่อไทย - ภูมิใจไทย ชิงธงงบฯ 69 3.78 ล้านล้าน พ่วงงบกลางฯแสนล้าน

เพื่อไทย - ภูมิใจไทย ชิงธงงบฯ 69 3.78 ล้านล้าน พ่วงงบกลางฯแสนล้าน

คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญให้ “แพรทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกฯ ส่งแรงสั่นสะเทือนการเมืองไทย เปิดเกมชิงเก้าอี้ผู้นำ ดิมพันด้วย “อำนาจบริหารงบประมาณ” มหาศาล 3.78 ล้าน

KEY

POINTS

  • คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญให้ “แพรทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกฯ ส่งแรงสั่นสะเทือนการเมืองไทย
  • เปิดเกมชิงเก้าอี้ผู้นำระหว่าง “ชัยเกษม นิติสิริ” พรรคเพื่อไทย และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” พรรคภูมิใจไทย
  • ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ยังเดิมพันด้วย “อำนาจบริหารงบประมาณ” มหาศาลกว่า 3.78 ล้านล้านบาท  รวมทั้งงบกลางฯอีกกว่า 1.59 แสนล้าน ที่จะชี้ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568–2569 
  • การบริหารงบประมาณในส่วนนี้ย่อมส่งผลทั้งเศรษฐกิจไทย และการเมืองในระยะต่อไป 

คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมาให้นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พ้นจากตำแหน่งไปด้วยทั้งคณะ 
เหตุการณ์นี้อาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองไทยที่นอกจากการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี และครม.ยังอาจมีการสลับขั้วการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล จากการนำของพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอยู่เดิม ไปสู่พรรคภูมิใจไทยที่ประกาศรวมเสียง สส.ตั้งรัฐบาลเช่นกัน 


 โดยสถานการณ์ขณะนี้จากบัญชีรายชื่อของนายกรัฐมนตรีของทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ที่ชิงกันจัดตั้งรัฐบาลคือ “นายชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย และ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” แคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทย 

ในภาวะที่การเมืองยังมีความไม่แน่นอนสูง ประเด็นทางเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่นายกรัฐมนตรีและครม.ชุดใหม่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องเข้ามาขับเคลื่อนการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ โดยมีเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาล “งบประมาณ” ที่รัฐบาลต้องมีการขับเคลื่อนเร่งรัดลงสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะถือว่ามีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงปีหน้าขยายตัวได้ 


โชคดีอยู่บ้างที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลได้มีการเตรียมการในส่วนของงบประมาณไว้พร้อมแล้วทั้งในส่วนของ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาทั้งในส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาไปเรียบร้อยแล้วทั้ง 3 วาระตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.เป็นต้นมา

โดยไทม์ไลน์ของการจัดทำงบประมาณปี 2569 หลังจากผ่านสภาในวาระที่ 3 แล้ว วันที่ 8 กันยายน 2568 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป

โดยมีกำหนดที่งบประมาณจะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 ต.ค.2568 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ 


นอกจากนั้นในปีงบประมาณ 2568 ยังมีการโอนงบประมาณจากงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯปี 2568 วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาทในไว้ในงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน พ.ศ.2568 อีก 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้จะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะอนุมัติโครงการได้โดยตรง

ดังนั้นการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 แคนดิเดตนายกฯ ในครั้งนี้จึงมีความหมายในแง่ของการบริหารงบประมาณ เพราะจะเป็นนายกฯที่มีงบประมาณรอใช้ไว้พร้อม โดยนายกฯที่เข้ามาบริหารงานจะมีงบประมาณให้บริหารจัดการ และอนุมัติโครงการจากส่วนต่างๆจากปีงบประมาณ 2568 – 2569 ดังนี้ 


1.วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้แบ่งเป็นงบประจำประมาณ 70% และมีงบประมาณในการลงทุนประมาณ 20% ของงบประมาณทั้งหมดหรือประมาณ 7.6 แสนล้านบาท 

2.งบกลางฯรวมกว่า 1.59 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณจากส่วนต่างๆได้แก่ 

1)งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนปี 2568 ที่เหลืออยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท 

2)งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนปี 2568 เพิ่มเติมที่โอนมาจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.6 หมื่นล้านบาท 

3.งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วนปี 2569 วงเงิน 9.8 หมื่นล้านบาท 

และ 4.งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเดิมนั้นวงเงินในส่วนนี้ได้เตรียมไว้ในการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่ต่อมามีการเตรียมที่จะใช้งบประมาณในส่วนนี้ไปช่วยลดผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ 

โดยในส่วนของงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินนั้นถือว่าเป็นอำนาจโดยตรงของนายกรัฐมนตรีที่จะอนุมัติงบประมาณโดยความเห็นชอบร่วมกันกับ ครม.ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการขอใช้งบประมาณเข้ามาหลายโครงการ เช่น ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้เสนอขอใช้งบประมาณเพิ่มเติมในการเพิ่มวงเงินให้กับกองทุนสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของบประมาณในการช่วงเหลือเกษตรกร รวมทั้งโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ รวมทั้งการอนุมัติงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชายแดน เป็นต้น 

จะเห็นได้ว่าการเข้าสู่อำนาจรัฐของแคนดิเดตของนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คน จาก 2 พรรคในครั้งนี้ นอกจากการมีผลต่อการเมืองแล้ว ยังมีเดิมพันเรื่องของการบริหารงบประมาฯทั้งในส่วนของงบประมาณที่เหลือในปี 2568 และในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งต้องจับตาว่าท้ายที่สุดแล้ว นายกฯคนใดจะสามารถชิงธงเข้ามาบริหารงบประมาณของประเทศในช่วงที่สำคัญก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2569