'คมนาคม' ฝ่ามรสุมการเมือง ดันเมกะโปรเจกต์ 'แลนด์บริดจ์'

'คมนาคม' ฝ่ามรสุมการเมือง ดันเมกะโปรเจกต์ 'แลนด์บริดจ์'

สนข.เคาะแผนพัฒนา ”แลนด์บริดจ์“ หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน พร้อมประเมินปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปรับแผนลงทุนเหลือ 9 แสนล้านบาท รองรับขนสินค้าสูงสุด 14 ล้านTEU เดินหน้าจัดทำเอกสารประกวดราคา ควบคู่เสนอ พรบ. SEC คาดเปิดประมูลปีหน้า ยันทุนจีนและดูไบ สนใจเข้าร่วม

KEY

POINTS

  • สนข.เคาะแผนพัฒนา "แลนด์บริดจ์" หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน มั่นใจเป็นเมกะโปรเจกต์ที่ทุกรัฐบาลต้องสนับสนุน เพราะช่วยเพิ่มขีดความสามารถขอองประเทศ 
  • ล่าสุดประเมินปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปรับแผนลงทุนเหลือ 9 แสนล้านบาท รองรับขนสินค้าสูงสุด 14 ล้านTEU เดินหน้าจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดเปิดประมูลปีหน้า ยันทุนจีนและดูไบยังสนใจเข้าร่วม

กระทรวงคมนาคมยังเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) แม้ว่าปัจจุบันกำลังเผชิญปัญหามรสุมการเมือง ท่ามกลางความไม่แน่นอน แต่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ยังเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะได้รับแรงสนับสนุนจากทุกรัฐบาล เพราะเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศ 

นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า สนข.จัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ 3 ครั้ง โดยจัดไปแล้ว 2 ครั้งที่จังหวัดระนองและจังหวัดชุมพร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ แต่ก็มีประชาชนบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ และได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อห่วงกังวล

นอกจากนี้ สนข.ได้ศึกษาถึงผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในโครงการ พบว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบ อาทิ ผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น นโยบายการคลังเข้มงวด และความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่กระทบต่อการลงทุนของเอกชน รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำแพงภาษีต่างๆ ผลจากสงครามรัสเซีย - ยูเครน และนโยบายการเงินการคลัง การปรับดอกเบี้ยของ FED และ ECB ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น

ทั้งนี้ สนข.คาดการณ์ปริมาณขนส่งสินค้าที่มีโอกาสมาใช้ท่าเรือแลนด์บริดจ์ปรับลดลงจากผลการศึกษาเดิม แบ่งเป็น 

ระยะที่ 1/1 (ปี 2573-2574) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 3.750 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 3.765 ล้าน TEUs 

ระยะที่ 1/2 (ปี 2575-2577) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 8.132 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 8.067 ล้าน TEUs 

ระยะที่ 1/3 (ปี 2578-2596) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 14.092 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 13.835 ล้าน TEUs 

ระยะที่ 2 (ปี 2597-2622) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 20.000 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 20.000 ล้าน TEUs

นายปัญญา กล่าวว่า จากปัจจัยแวดล้อมและสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปทำให้ สนข.ปรับแผนการพัฒนาท่าเรือแลนด์บริดจ์ใหม่ โดยปรับขนาดการก่อสร้างให้ลดลงจากเดิม เช่น ระยะที่ 1/1 รองรับตู้สินค้าสูงสุด 4 ล้าน TEUs จากแผนเดิมลงทุนก่อสร้างระยะที่ 1/1 เพื่อรองรับตู้สินค้าสูงสุด 6 ล้าน TEUs แต่แผนลงทุนทั้งหมดยังคงเป้าหมายพัฒนาแลนด์บริดจ์ให้รองรับตู้สินค้าสูงสุด 20 ล้าน TEUs

“แผนลงทุนตอนนี้ได้ปรับไซส์ลดลงช่วงแรกที่ต้องพัฒนา ปรับระยะเวลาการก่อสร้างในการลงทุนใหม่ เหลือเพียง 3 ระยะ พัฒนาเพื่อรองรับตู้สินค้าลดลงให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากนั้นจะทยอยขยายการลงทุน ส่วนระยะที่ 2 ช่วงปี 2597-2622 เป็นแผนในอนาคต หากมีการพัฒนาจะรองรับตู้สินค้าเต็มขีดความสามารถคือ 20 ล้าน TEUs”

ทั้งนี้ การปรับขนาดการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ส่งผลให้ สนข.ประเมินวงเงินการลงทุนลดเหลือ 9.9 แสนล้านบาท จากแผนเดิมประเมินไว้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะศึกษาพัฒนาในระยะที่ 1 ทั้ง 3 ระยะ แบ่งเป็น 

ระยะที่ 1/1 (ปี 2573-2574) มูลค่าการลงทุน 6.17 แสนล้านบาท 

ระยะที่ 1/2 (ปี 2575-2577) มูลค่าการลงทุน 1.74 แสนล้านบาท 

ระยะที่ 1/3 (ปี 2578-2596) มูลค่าการลงทุน 2.05 แสนล้านบาท 

ระยะที่ 2 (ปี 2597-2622) ยังไม่มีการประเมินแผนลงทุน เนื่องจากจะต้องรอให้มีการพัฒนาแผนระยะที่ 1 ให้แล้วก่อน

สำหรับรูปแบบการลงทุน ปัจจุบัน สนข.ศึกษาความเหมาะสมโดยจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐ (PPP) ลักษณะ PPP Net cost สัญญาสัมปทาน 50 ปี โดยการเปิดประมูลใช้หลักการ One Port Two Sides ดำเนินการก่อสร้าง และบริหารงานพร้อมกันทั้งโครงการในสัญญาเดียว 

ส่วนผู้เข้ามาลงทุนจะต้องมีประสบการณ์ในการบริหารท่าเรือ และสายการเดินเรือ เพื่อดึงสินค้าเข้ามาใช้บริการท่าเรือ และจะต้องมีความพร้อมด้านเงินทุนเพื่อลงทุนในโครงการ

ทั้งนี้ สนข.เตรียมเอกสารเพื่อประกาศประกวดราคา (ทีโออาร์) ใช้เวลาดำเนินการ 5-6 เดือน คาดว่าจะเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนและเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 คาดว่าจะเปิดให้บริการระยะที่ 1/1 ภายในปี 2573 ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีน และดูไบ ซึ่งเข้าร่วมรับฟังข้อมูลโครงการด้วย

สำหรับนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เช่น บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ดีพี เวิลด์ โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัททรานส์เวิลด์ จีแอสเอส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทมิตซุยแอนด์คัมปนี (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัทสหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน), European Association for Business and Commerce

นอกจากนี้มีเอกชนผู้ประกอบการสายการเดินเรือที่ให้ความสนใจ เช่น บริษัท เมดิเตอร์เรเนียน ชิปปิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอชเอ็มเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอเวอร์กรีน ชิปปิ้ง เอเยนซี่ (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท อีสเทิร์น ซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด รวมไปถึงสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ