เสียงเรียกร้องภาคธุรกิจเร่งตั้งนายกฯ ใหม่ ชี้ชะตาอนาคตเศรษฐกิจไทย

เสียงเรียกร้องภาคธุรกิจเร่งตั้งนายกฯ ใหม่ ชี้ชะตาอนาคตเศรษฐกิจไทย

"ภาคธุรกิจ" ประสานเสียงเรียกร้องฝ่ายการเมืองเร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หวั่นสถานการณ์สุญญากาศการเมือง ย้ำโจทย์ใหญ่รัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 เรื่องพิจารณาที่ 18/2568 คดีกล่าวหาความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ 1 ก.ค.2568 เนื่องจากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นที่จับตามองของนักธุรกิจทั้งไทยและนักธุรกิจต่างชาติ โดยหลายฝ่ายมองว่ามีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งทำให้ภาคธุรกิจบางส่วน Wait & see 

ทันทีที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาได้มีการชิงจังหวะจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยแข่งกับพรรคภูมิใจไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติจับตามองการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด โดยหากการเมืองยังไร้เสถียรภาพต่อไปจะทำให้ความเชื่อมั่นสั่นคลอนหนักขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนลังเล รวมถึงการท่องเที่ยวจะชะลอตัวและทุกอย่างจะกระเทือนเป็นลูกโซ่

“วันนี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่บั่นทอนศรัทธาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะเรากำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักอยู่แล้ว” นายพจน์ กล่าว

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือ ฝ่ายการเมืองต้องเร่งหานายกรัฐมนตรีใหม่ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีผู้นำที่สานต่อการทำงานได้เร็ว โดยการเมืองต้องนิ่งมีเสถียรภาพ ซึ่งภาคเอกชนต้องการเห็นการฟอร์มคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ดีและได้บุคลากรที่มีฝีมือและเป็นที่ยอมรับเข้าบริหารประเทศ

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า

ภาคธุรกิจกังวลการขับเคลื่อนงานเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักรอรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงข้อตกลงระหว่างรัฐบาลที่ตกลงกับต่างประเทศต้องหยุดทั้งหมดไม่สามารถเดินต่อไป ส่วนดีลภาษีสหรัฐน่าจะเดินต่อไปได้เพียงแต่ต้องรอ ครม.ชุดใหม่มาสานต่อ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า

หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าจะกระทบการดำเนินนโยบายสำคัญ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐ การแก้ไขปัญหาชายแดน การจัดการอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการที่ต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจ 

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เสถียรภาพทางการเมืองยังไม่แน่นอนเช่นนี้ ภาครัฐต้องสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและประชาชน เพิ่มงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาทักษะแรงงาน และสนับสนุนการเข้าถึงเงินทุนสำหรับ SMEs รวมทั้งทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อวางแผนการดำเนินงานในระยะกลางและระยะยาว

ในขณะที่นักธุรกิจต่างประเทศยืนยันถึงความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย โดยเฉพาะนักธุรกิจญี่ปุ่นที่มียอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เป็นอันดับ 1 มานานก่อนที่ในช่วงหลังจะมีจีนเข้ามาเป็นอันดับ 1 ในบางปี

นายอิชิโระ อาเบะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) สำนักงานกรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”

ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย 2 วัน ว่า ไม่ว่าการตัดสินใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.2568 อาจกระทบกระบวนการตัดสินใจของรัฐบาลทำให้ล่าช้าหรือเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่เมื่อมองระยะยาวแล้วนักลงทุนจะปรับตัวให้เข้าการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลได้

“สถานการณ์การเมืองไทยปัจจุบันไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่น เพราะไทยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างมากต่อนโยบายการส่งเสริม FDI เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมือง รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง”