สังคมสูงวัยทั่วโลก ดันยอดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินพุ่ง 1.36 แสนล้านดอลลาร์

สังคมสูงวัยทั่วโลก ดันยอดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินพุ่ง 1.36 แสนล้านดอลลาร์

สนค. ชี้การเติบโตของสังคมสูงวัยทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพจากผู้บริโภคทั่วไปและผู้สูงอายุเติบโต สะท้อนจากมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินของโลกที่สูงถึง 1.36 แสนล้านดอลลาร์ หวังเป็นช่องทางสร้างโอกาสการค้าสินค้าเกษตรไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้น

KEY

POINTS

  • การเข้าสู่สังคมสูงวัยทั่วโลกเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินเติบโต โดยมีมูลค่าตลาดค้าปลีกทั่วโลกสูงถึง 1.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567
  • สหรัฐอเมริกาและจีนเป็นตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าตลาดรวมกันกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • แม้ตลาดในประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตสูง แต่ยังคงขาดดุลการค้าในกลุ่มสินค้านี้ โดยมีมูลค่าการนำเข้าสูงกว่าการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ

“อาหารเพื่อสุขภาพ” เป็นตลาดที่น่าสนใจ และเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มผู้บริโภคผู้สูงอายุ เนื่องจากการการเติบโตของสังคมสูงวัยทั่วโลก  ส่งผลให้ความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพจากผู้บริโภคทั่วไปและผู้สูงอายุเติบโต โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่าผู้คนทั่วโลกมีอายุยืนยาวขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าคนส่วนใหญ่จะมีอายุจนถึง 60 ปีขึ้นไป และภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) หนึ่งในหกของประชากรโลก (ประมาณ1,400 ล้านคน) จะมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ประชากรโลกที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนประมาณ 2,100 ล้านคน

โดยลักษณะอาหารสำหรับผู้สูงอายุ ต้องสอดคล้องตามข้อจำกัดทางสรีรวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น แม้ว่าร่างกายจะมีการเผาผลาญพลังงานที่ลดลงและต้องการแคลอรี่น้อยลง แต่ก็ยังต้องการสารอาหารครบถ้วนโดยเฉพาะโปรตีน เพื่อชะลอการสูญเสียกล้ามเนื้อ และต้องคำนึงถึงโรคประจำตัวของผู้สูงอายุด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน

รวมถึงปัญหาการกินได้น้อยลงหรือเบื่ออาหาร ปัญหาการบดเคี้ยวและการกลืน ตลอดจนการรับรู้รสชาติที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างอาหารที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ เช่น อาหารพร้อมทาน อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน และอาหารหรือเครื่องดื่มสูตรพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ

ข้อมูลจาก Euromonitor บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก พบว่า ในปี 2567 ตลาดค้าปลีกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินของโลก มีมูลค่า 136,378.1 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 3.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ที่มีมูลค่า 132,446.1 ล้านดอลลาร์ โดยมีแนวโน้มอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 3.4% ต่อปี (ปี 2563 – 2567)

 

ตลาดที่มีมูลค่าค้าปลีกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารฯ สูงสุดอันดับต้น ๆ ของโลก ได้แก่

  • สหรัฐอเมริกา มูลค่าตลาด 38,346.3 ล้านดลลาร์ อัตราเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี
  • จีน(มูลค่าตลาด 32,281.9 ล้านดอลลาร์ อัตราเติบโตเฉลี่ย 6.6% ต่อปี
  • สหภาพยุโรป มูลค่าตลาด 15,428.7 ล้านดอลลาร์ อัตราเติบโตเฉลี่ย 5.8% ต่อปี
  • ญี่ปุ่น มูลค่าตลาด 8,607.3 ล้านดอลลาร์ อัตราเติบโตเฉลี่ย 1.3% ต่อปี
  • ไทย มีมูลค่าตลาด 2,487.3 ล้านดอลลาร์ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 7.7% ต่อปี

 

“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์”  ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า  ได้ติดตามสถานการณ์การเติบโตของ อาหารเพื่อสุขภาพของไทย พบว่า ในปี 2567 ไทยขาดดุลการค้าสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน เป็นมูลค่า 554.7 ล้านดอลลาร์ โดยไทยนำเข้า 606.6  ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.6% เทียบกับปีก่อนหน้า

โดยสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้า ได้แก่

  • อาหารเสริมและพรีมิกซ์สำหรับเสริมคุณค่าอาหาร มูลค่า 281.6 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 46.4% ของมูลค่าการนำเข้าของไทย)
  • ของผสมกับอาหารหรือสารอื่น ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มูลค่า 166.9 ล้านดอลลาร์  คิดเป็น 27.5%
  • วิตามิน  มูลค่า 142.7 ล้านดอลลาร์  คิดเป็น 23.5%  
  • โปรตีนเข้มข้น มูลค่า 15.2 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 2.5%  

สินค้าที่ไทยมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้นมาก เช่น

  • วิตามินอี  ขยายตัว 50.8% เทียบกับปีที่ผ่านมา  
  • วิตามินซี  ขยายตัว 40.4%
  • วิตามินบี 1  ขยายตัว 35.0%

สำหรับ การส่งออก ในปี 2567 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน เป็นมูลค่า 51.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เรียงลำดับสินค้าตามมูลค่าการส่งออก ได้แก่

  • อาหารเสริมและพรีมิกซ์สำหรับเสริมคุณค่าอาหาร  มูลค่า 32.3 ล้านดอลลาร์  คิดเป็น 62.2% ของมูลค่าการส่งออกของไทย  
  • วิตามิน  มูลค่า 9.6 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 18.5%
  • ของผสมกับอาหารหรือสารอื่น ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ  มูลค่า 5.7 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 11.0%)
  • โปรตีนเข้มข้น  มูลค่า 4.2 ล้านดอลลาร์  คิดเป็น 8.1%)

โดยภูมิภาคอาเซียนและจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และฮ่องกง ตามลำดับ และในช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2568 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน เป็นมูลค่า 25.6 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 

ทั้งนี้ส่งออกส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน ยังมีข้อจำกัดคือ กฎระเบียบของแต่ละประเทศ เช่น นิยามและการจัดประเภท (อาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือยา) ที่อาจแตกต่างกัน รวมถึงข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์และฉลากสินค้า เช่น ญี่ปุ่นมีข้อกำหนด Foods with Health Claims (FHC) กล่าวคือ อาหารเพื่อสุขภาพ (Foods for Specified Health Uses: FOSHU) ต้องผ่านการประเมินความปลอดภัย

โดยองค์กรด้านอาหารและยาของญี่ปุ่น จึงจะสามารถใช้เครื่องหมาย FOSHU บนฉลากได้ ซึ่งใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายสูง ขณะที่สหภาพยุโรปมีกฎ Nutrition and Health Claims Regulation (NHCR) ที่ต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับทุกการกล่าวอ้าง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัดจากระเบียบการค้าของแต่ละประเทศ แต่การเติบโตของประชากรผู้สูงอายุทำให้เห็นโอกาสของอาหารเพื่อสุขภาพและการเกษตรมูลค่าสูง ซึ่งการพัฒนาสินค้าดังกล่าว นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุแล้ว ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเกษตรไทย ส่งเสริมความยั่งยืนของระบบอาหารของประเทศ

สำหรับการขยายไปตลาดต่างประเทศนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องศึกษากฎระเบียบของแต่ละประเทศอย่างละเอียด และวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างกลยุทธ์สำหรับการตลาดในประเทศไทย เช่น หากจะเจาะกลุ่มผู้สูงอายุชายที่ยังทำงานควรมุ่งประเด็นการเสริมสร้างสุขภาพเพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน และหากเจาะกลุ่มผู้สูงอายุหญิงควรสื่อสารผ่านบุตรหลานที่เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่าย เป็นต้น