‘พิชัย’ ชังน้ำหนักขยายเวลาลด VAT 7% ต่อ เร่งปฏิรูปดึงคนเข้าระบบภาษี

‘พิชัย’ ชังน้ำหนักขยายเวลาลด VAT 7% ต่อ เร่งปฏิรูปดึงคนเข้าระบบภาษี

“พิชัย” ชี้อัตราจัดเก็บ VAT ไทยยังอยู่ระดับต่ำ ชั่งน้ำหนักขยายมาตรการลด VAT ต่อเนื่องที่ 7% หวังเร่งปฏิรูป Negative Income Tax ดึงคนเข้าระบบภาษี

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวทางการเพิ่มสัดส่วนการจัดเก็บภาษีให้เพิ่มขึ้นเป็น 18% ของ GDP ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการปรับโครงสร้างอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งมาตรการลดภาษี VAT จาก 10% เหลือ 7% จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 ก.ย.2568

“ตอนนี้ผมกำลังชั่งน้ำหนักว่าจะขยายเวลา VAT ที่ 7% ออกไปหรือไม่ ซึ่งการจะปรับขึ้น VAT หรือไม่ ต้องชั่งนำหนักหลายเรื่อง เช่น หากพิจารณาโดยเทียบอัตราภาษี VAT กับประเทศอื่นไทยถือว่าจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่ามาก แต่หากพิจาณาจากความเหมาะสมก็ต้องดูปัญหาของเศรษฐกิจไทยประกอบด้วย”

ทั้งนี้ การปรับอัตราภาษี VAT ยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันเติบโตในอัตราที่ต่ำ การปรับขึ้นภาษีอาจส่งผลกระทบต่อภาระประชาชนและผู้ประกอบการได้ 

อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นภาษี VAT จะไม่ได้นำไปใช้เพื่อลดหนี้เพียงอย่างเดียว แต่จะนำไปใช้เพื่อ การลงทุน และ สร้างการจ้างงาน ให้กับประชาชนในระดับรากหญ้าด้วย

นายพิชัย กล่าวต่อว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปภาษีผ่าน Negative Income Tax ซึ่งต่างประเทศได้เริ่มใช้นโยบายนี้แล้วด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งไทยมีหลายเรื่องที่คำนึงถึง เช่น การกำหนดให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นภาษี อาจมีประชาชนกลุ่มที่ยังยื่นภาษีไม่เป็นซึ่งจำนวนมาก นอกจากนี้ยังต้องมีข้อมูลของประชาชนมากพอที่จะทำให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างตรงจุด

 

นอกจากนี้ นายพิชัยได้กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องการเจรจา Regional Value Content หรือ RVC กับสหรัฐ ว่า เรื่องกำหนดสัดส่วนของชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) คาดว่าจะไม่มีความรุนแรงกว่าในปัจจุบัน

 

“เรื่อง Local Content น่าจะอยู่ในจุดที่ไทยรับได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน เชื่อว่าสัดส่วนจะไม่ถึง 50% อาจจะเป็นไปได้ที่ได้ 40% ทั้งนี้มองว่าสหรัฐน่าจะจับจ้องไปที่ประเทศที่เป็น Third Party มากกว่า”

ส่วนเรื่องคดีการเมืองจะส่งผลต่อการเจรจาหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ทำงานไว้อย่างชัดเจนดังนั้นก็สามารถดำเนินการต่อไปได้

“เรื่องเสถียรภาพการเมืองไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่ประเทศไหนที่มีเสถียรภาพการเมืองดีก็ถือว่าโชคดี ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่มีอุปสรรค”