บทสัมภาษณ์ทิ้งทวนของ 'ดร. เศรษฐพุฒิ' กับการทำงาน 5 ปีที่ 'ยาวนาน'

กรุงเทพธุรกิจ ชวนพูดคุยกับ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ถึงแนวคิดเบื้องหลังการทำงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่เผชิญความท้าทายรอบด้าน “ธนาคารแห่งประเทศไทย” (ธปท.) คือหนึ่งหน่วยงานสำคัญที่ช่วยประคับประคองให้เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ มาได้ วันนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ชวนนั่งพูดคุยและถอดบทเรียนเบื้องหลังแนวคิดและเหตุผลในการตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเงินของธปท. ตลอดช่วง 5 ปี กับ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำลังจะหมดวาระลงสิ้นเดือน ก.ย. 2568
ความท้าทายระยะยาวของเศรษฐกิจไทยปัจจุบันในมุมมองของผู้ว่าฯ คืออะไร
ความท้าทายระยะยาวมีอยู่หลาย ประการแรก คือเรื่องศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ผมเน้นว่าใช้คำว่า "ศักยภาพ" หมายถึงเรื่องของพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง
ถ้าดูภาพรวมเศรษฐกิจไทย ทุกครั้งที่เราเจอภาวะช็อก (shock) เมื่อฟื้นตัวกลับมาแล้ว อัตราการเติบโตจะต่ำกว่าเดิมเสมอ เหมือนเป็นโรคเรื้อรัง ก่อนปี 2540 เราเติบโตเฉลี่ยสูงกว่า 7% หลังปี 2540 ลดเหลือ 5% เจอวิกฤตปี 2551 ลดเหลือ 3% และหลังโควิด ตอนนี้เติบโตเฉลี่ยประมาณ 2%
ปัญหานี้เป็นเรื่องระยะยาว จึงไม่สามารถแก้ได้ด้วยการกระตุ้นระยะสั้นอย่างเดียว การกระตุ้นจะช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นก็จะกลับไปสู่สภาพเดิม
ประเด็นที่สอง คือปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องความเหลื่อมล้ำ การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งที่เราแคร์คือชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องถามว่าผลของการเติบโตกระจายไปสู่คนส่วนมากหรือไม่
บ้านเรามีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงมากกว่าที่หลายคนคิด จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ครัวเรือนท็อป 1% (240,000 ครัวเรือน) มีทรัพย์สินสุทธิเทียบเท่ากับเกือบครึ่งหนึ่งของครัวเรือนไทยประมาณ 12-13 ล้านครัวเรือน หรือ
แต่ตัวเลขนี้อาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด เพราะการสำรวจมีข้อจำกัด ครัวเรือนที่มั่งคั่งจริงๆ อาจเข้าไม่ถึงการสำรวจ ทำให้ทรัพย์สินสุทธิของครัวเรือนท็อป 1% ในการสำรวจอยู่ที่ 21 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น นิตยสารฟอร์บส (Forbes) แล้วจะเห็นว่าความมั่งคั่งจริงเป็นหลักหมื่นล้านบาท
แล้วถ้ามองปัญหาระยะสั้น สิ่งที่หนักใจที่สุดกับภาพเศรษฐกิจไทยตอนนี้คือเรื่องอะไร
การฟื้นตัวของเราช้ามาก โดยเฉพาะรายได้ของประชาชนที่ฟื้นตัวช้า เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิดหนักกว่าหลายประเทศ เห็นได้จากตัวเลขจีดีพี (GDP) ที่ติดลบ 6% ในช่วงนั้นและอัตราการว่างงานรวมกึ่งว่างงานที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปกติ
สาเหตุที่เราได้รับผลกระทบหนักกว่าเพราะ ประการแรก เราพึ่งพาการท่องเที่ยวมาก จำนวนนักท่องเที่ยวลดจาก 40 ล้านคนเหลือศูนย์ในช่วงหนึ่ง ประการที่สอง เศรษฐกิจของเราพึ่งพาภาคบริการที่ต้องมีการพบปะกัน ประการที่สาม แรงงานของเราส่วนใหญ่เป็นอาชีพอิสระ เช่น คนขับแท็กซี่ แม่ค้าพ่อค้า ซึ่งไม่สามารถ Work from Home ได้ เมื่อไม่สามารถทำงานได้ก็ไม่มีรายได้
นี่คือเหตุผลที่เราเจอโควิดหนักกว่าหลายประเทศ และฟื้นตัวช้าเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นช้าที่สุด แม้ระดับจีดีพีจะกลับมาถึงระดับเดิมแล้ว แต่อัตราการเติบโตหลังโควิดก็แผ่วลงเหมือนทุกครั้งที่เราเจอช็อก
จากปัญหาที่เจอมาทั้งหมด ผู้ว่าฯ คิดว่าธปท. ทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเต็มศักยภาพแล้วหรือยัง
ตอนนี้คนมักคิดถึงนโยบายการเงินแค่เรื่องอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แต่นโยบายของธปท. มีมากกว่านั้น รวมถึงมาตรการทางการเงิน นโยบายโครงสร้างต่างๆ ต้องดูภาพรวมว่านโยบายที่ทำจะช่วยตอบโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจได้หรือไม่
ในช่วงโควิด นอกจากลดดอกเบี้ยลงถึง 0.5% (ต่ำสุดในประวัติศาสตร์) แล้ว เรายังมีมาตรการสำคัญอื่นๆ เช่น โครงการฟื้นฟูสินเชื่อ (Soft Loan) อย่าง กลไกพักทรัพย์ พักหนี้ (Asset Warehousing) ที่ช่วยให้สินเชื่อ SME เติบโตได้ในช่วงโควิด แม้ในตอนแรกจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่สุดท้ายสินเชื่อก็ออกไปได้ตามเป้า 99%
นอกจากนี้ยังมีการปรับโครงสร้างหนี้ โครงการคุ้มครองผู้บริโภค การพัฒนาระบบการชำระเงิน การเปิดให้มีดิจิทัล แบงก์ (Digital Bank) เข้ามา และโครงการประกันสินเชื่อ รวมถึงโครงการโอเพ้น ดาต้า (Open Data) ทั้งหมดช่วยตอบโจทย์เศรษฐกิจในภาพรวม
สำหรับโจทย์หลักของธปท.ตามกฎหมาย เราไม่ได้ดูแค่การเติบโต แต่ต้องดูเสถียรภาพ ได้แก่ เสถียรภาพระบบการเงิน เสถียรภาพราคา และเสถียรภาพระบบการชำระเงิน การรักษาเสถียรภาพไม่ได้หมายถึงการให้ทุกอย่างแช่แข็ง แต่ต้องดูการเติบโตควบคู่ไปด้วย
สำหรับนโยบายการเงินของ กนง. เรามีกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) โดยดูหลัก 3 เรื่องคือ การเติบโตเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability) ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของธนาคารกลางทุกแห่งที่คนมักมองข้าม
ธปท. รักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับการเติบโตอย่างไร หรือให้น้ำหนักส่วนไหนมากกว่ากัน
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ไม่มีสูตรตายตัวแบบเคพีไอ (KPI) ที่กำหนดว่าเรื่องนี้ 40% เรื่องนั้น 50% มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการบริหารดอกเบี้ย ในช่วงโควิด ทุกอย่างหยุดชะงัก จึงจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยอย่างเต็มที่ลงถึง 0.5% แต่หลังจากนั้นเมื่อเจอปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน เงินเฟ้อบ้านเราวิ่งขึ้นไป 7.9% (สูงสุดในภูมิภาค) หากไม่ดูแลเรื่องเงินเฟ้อ อาจทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นและประชาชนได้รับความเดือดร้อน
ขณะนั้นเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขึ้นดอกเบี้ยช้า "Behind the curve" เพราะประเทศอื่นขึ้นครั้งละ 50 สตางค์ แต่เราใช้นโยบาย "Gradual and Measured" ขึ้นครั้งละ 25 สตางค์ เพราะประเมินว่าสถานการณ์ไทยไม่เหมือนประเทศอื่นที่ฟื้นตัวแล้ว เราฟื้นช้ากว่า
เราต้องการให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับv (ไม่กระตุ้นจนเกินไปแต่ก็ไม่เหยียบเบรก) แทนที่จะไปสู่สภาวะ Tightening เหมือนประเทศอื่น เพราะหากเหยียบเบรกแรงเหมือนที่อื่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะชะงัก
ภายหลังเมื่อเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบค่อนข้างเร็ว และการฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะรายได้ประชาชน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน จึงมีการปรับลดดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อเจอช็อกเพิ่มเติมจากเรื่องภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ และภาษีนำเข้าจากอเมริกา ที่ทำให้ Outlook เศรษฐกิจดรอปลง จึงมีการปรับลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.5% ปัจจุบัน
สิ่งนี้สะท้อนว่าน้ำหนักที่ให้กับแต่ละปัจจัยเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ไม่ยึดติดกับหลักคำสอนตายตัวหรือทำตามประเทศอื่นเสมอไป
อันนั้นคือการขึ้นดอกเบี้ย แล้วการลดดอกเบี้ยของธปท. 4 ครั้งล่าสุด มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจังหวะช้าไปหรือไม่
เมื่อขาขึ้นคนวิจารณ์ว่าช้า พอขาลง คนเดียวกันก็มักวิจารณ์ว่าช้า (หัวเราะ)
แต่เรามองว่าไม่ช้าเกินไปและเหมาะสมกับสถานการณ์
หลักการสำคัญที่เราย้ำตลอดคือ เราเป็น "Outlook Dependent" มากกว่า "Data Dependent" หมายถึงเราดูแนวโน้มเศรษฐกิจข้างหน้ามากกว่าข้อมูลในอดีต เพราะข้อมูลออกมาช้าและสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ผลของการปรับดอกเบี้ยส่งผลไปข้างหน้า
หลายธนาคารกลางต่างประเทศจะบอกว่าพวกเขาเป็น Data Dependent แล้วปรับตามข้อมูลที่ออกมา แต่วิธีนี้เหมือนตัดสินใจโดยมองย้อนหลัง ทำให้โอกาสที่จะช้าเกินไปหรือเร็วเกินไปสูงกว่า
การมองไปข้างหน้าช่วยลดโอกาส "Behind the curve" แต่ข้อมูลปัจจุบันมีความไม่เสถียร อาจมีปัจจัยทำให้ขึ้นลงชั่วคราว หากอิงการตัดสินใจกับข้อมูลปัจจุบันมากเกินไป จะสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น เพราะนโยบายกลายเป็นตัวเพิ่มความผันผวนแทนที่จะสร้างเสถียรภาพ
หาก "Behind the curve" จริง น่าจะเห็นว่าการคาดการณ์ของเราผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อดูย้อนหลัง เช่นตอนที่เราประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจโต 2.3% และถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก ผลปรากฏว่าครึ่งแรกโต 3% ถ้าครึ่งหลังโต 1% เฉลี่ยทั้งปีก็โต 2% ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ ต่อมาหน่วยงานต่างๆ ก็ปรับตัวเลขขึ้นตาม
ขอย้ำว่าการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งหมด เป็นเพียงเรื่องของตัวเลขที่มันแสดงออกมาให้เห็น มันไม่ได้สะท้อนความรู้สึกประชาชน
ตัวเลขจีดีพี เป็นเพียงตัวเลข แต่สิ่งที่คนรู้สึกจริงคือ รายได้และค่าครองชีพ รายได้ไม่ค่อยเติบโตและฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเยอะ
เงินเฟ้อที่รายงานว่าต่ำ แต่ถ้าถามคนทั่วไป เขารู้สึกว่าของแพงขึ้นจริง เพราะราคาสินค้าขึ้นมาแล้ว เงินเฟ้อที่ไม่เพิ่มขึ้นไม่ได้หมายความว่าราคาจะถูกลง
ตัวอย่างช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไข่ไก่เพิ่มขึ้น 10% (จาก 4 บาทเป็น 4.4 บาท) หมูเพิ่มขึ้น 40% ไก่เพิ่มขึ้น 10%รายได้ของประชาชนไม่เติบโตเท่าไรกับการขึ้นของราคาสินค้า
ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องครอบคลุม 3 ด้านคือด้านหนี้สิน ค่าครองชีพ และรายได้ แก้หนี้อย่างเดียวไม่พอ ต้องดูแลเรื่องเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน
ที่ผ่านมามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าธปท. ทำงานอยู่บนหอคอยงาช้าง เคยลงไปคุยกับประชาชนหรือผู้ประกอบการบ้างไหม
เรามีการติดตาม (Track) และสำรวจอยู่แล้ว ไม่ได้ดูแค่ตัวเลขราคา แต่ออกไปพูดคุยกับคนจริง ไม่ได้อยู่แต่ใน "หอคอยงาช้าง" การพูดคุยนี้ทำกันเป็นประจำ
โครงการสำคัญคือ "Business Reality Survey" ก่อนการประชุม กนง. จะมีทีมออกไปคุยกับผู้ประกอบการในทุกภาคส่วน ทั้งในกรุงเทพ ต่างจังหวัด ทั้งรายเล็กรายใหญ่ ปีหนึ่งเราพบบริษัท สมาคม สภาต่างๆ กว่า 700 แห่ง
เป็นการฟังและคุยเพื่อให้การวิเคราะห์และตัดสินใจนโยบายไม่ได้อิงแค่ตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์หรือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่ดูสิ่งที่คนกำลังเจอจริงๆ ด้วย
เราเข้าใจว่าหลายคนรู้สึก "ทำไมมาตรการไม่ถึง ยังลำบากอยู่" แต่การแก้ปัญหา 3 เรื่องที่กล่าวมา (หนี้ ค่าครองชีพ รายได้) ต้องแก้พร้อมกัน
ปัญหาหนี้เป็น "กรรมเก่า" ที่สะสมมานานมาก ก่อนโควิดเราเห็นหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นทุกคนมีความสุขกับการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ธปท. แม้จะเป็นห่วง แต่ กนง. ก็ไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยเพราะห่วงการเติบโต จำได้เลยในสเตทเมนต์ของ กนง. ช่วงนั้นอธิบายว่า "การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง" เริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้แค่ครั้งเดียวก็เจอโควิด จนต้องหันกลับทิศทันที
ที่สำคัญผมมองว่าการที่ธปท.เก็บดอกเบี้ยต่ำนานเกินไปช่วงนั้นมีส่วนทำให้หนี้เพิ่มขึ้น เป็นกรรมเก่าที่แก้ยาก หนี้ครัวเรือนไทย 2 ใน 3 เป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ต่างจากต่างประเทศที่หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นหนี้ซื้อบ้าน มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน เมื่อราคาอสังหาฯ ขึ้น ภาระหนี้ก็เบาลง
ของเรากลับเป็นหนี้เพื่อการบริโภค จึงแก้ยาก แก้ช้า ต้องแก้ด้วยการเพิ่มรายได้เป็นหลัก
ประเด็นที่สองคือ จากตัวเลขพบว่า 2 ใน 3 ของครัวเรือนไทยมีรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย แม้จะเสกหนี้ปัจจุบันให้หายไป แต่ถ้ารายได้ยังต่ำกว่ารายจ่าย สุดท้ายก็ต้องกู้ใหม่เป็นวังวน ดังนั้นต้องแก้ทั้งรายจ่าย (ควบคุมค่าครองชีพผ่านเงินเฟ้อ) และเพิ่มรายได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ธปท. ลดดอกเบี้ยมา 4 ครั้งแล้ว ตกลงตอนนี้เรากำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงใช่ไหม
ตอนนี้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เรียกว่า "Accommodative" (เอื้ออำนวย) คือเอื้อต่อการเติบโต เมื่อพิจารณาการเติบโต เงินเฟ้อ และเสถียรภาพการเงินแล้ว เห็นได้ชัดว่าเราให้น้ำหนักกับการเติบโตและการฟื้นตัว เพราะไม่อยากให้ดอกเบี้ยเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อัตราดอกเบี้ยที่นักวิเคราะห์เรียกว่า "Neutral Rate" (อัตราเป็นกลาง) คือระดับที่ไม่เหยียบเบรก ไม่แตะคันเร่ง ให้เศรษฐกิจดำเนินไปตามธรรมชาติ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่รวมทั้งเรา ประเมินว่าอยู่ระหว่าง 2.0-2.5% ใกล้เคียง 2.5% มากกว่า
การที่ดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ถือว่าต่ำกว่าระดับ Neutral แล้ว จึงเป็นระดับ Accommodative ที่เอื้อต่อการเติบโต
เมื่อดู Outlook ล่าสุด มีความเป็นห่วงเรื่องการปรับตัวจากภาษีศุลกากรของสหรัฐและความไวต่อภาระหนี้ที่สูง การลดดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง แต่ไม่มาก เพราะหนี้ของเรามีทั้งแบบคงที่ (Fixed) และแบบผ่อนชำระ (Installment) ไม่ใช่ว่าลดดอกเบี้ยแล้วภาระหนี้จะลดลงทันที
ปัจจุบัน Stance (ท่าทีนโยบาย) ของเราคือ Accommodative สนับสนุนการเติบโต ไม่ใช่ Behind the curve เพราะเมื่อมองไปข้างหน้า การคาดการณ์ของเราไม่ได้แตกต่างจากที่มองไว้ การปรับลดครั้งล่าสุดไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจแย่กว่าที่คาด แต่คิดว่าจะช่วยเรื่องการปรับตัวได้ ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและเสถียรภาพการเงินไม่สูงนัก
มองไปในระยะข้างหน้า แนวโน้มดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร
ต้องพูดด้วยความเคารพก่อนว่าเดือนหน้าผมจะครบวาระและไม่อยู่ใน กนง. แล้ว จึงไม่สามารถพูดเรื่องข้างหน้าได้เต็มปากเต็มคำ แต่สามารถเล่าหลักการคิดของ กนง. ที่ผ่านมาได้
ระดับดอกเบี้ยปัจจุบันเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่เพียงแต่ปัจจุบัน แต่รวมถึงสิ่งที่เรามองเห็นข้างหน้า เพราะเราเน้น "Outlook Dependent"
หาก กนง. จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ต้องเห็นการปรับ Outlook ลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งตอนนี้ตัวเลขล่าสุดทั้งปีนี้และปีหน้าไม่ได้ต่างจากที่ประเมินไว้อย่างมีนัยสำคัญ เกณฑ์ในการปรับลดเพิ่มเติมจึงไม่ต่ำ ต้องเห็นข้อมูลที่สะท้อน Outlook เปลี่ยนแปลงไปจริง
เข้าใจว่าหลายคนอยากเห็นดอกเบี้ยต่ำลง นักวิเคราะห์อาจมองผิวเผินว่า เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพ เงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบ เสถียรภาพ การเงินดูไม่มีปัญหา ความต้องการสินเชื่อต่ำ ดังนั้นควรลดดอกเบี้ย แต่เราไม่สามารถดูแค่ผิวเผิน ต้องดูลึกลงไป ครบถ้วน ละเอียด และดูภาพรวมระยะยาว
ต้องดูว่าทำไมการเติบโตถึงต่ำกว่าศักยภาพ ทำไมเงินเฟ้อถึงต่ำกว่ากรอบ ทำไมธนาคารพาณิชย์ถึงปล่อยสินเชื่อชะลอตัว และการลดดอกเบี้ยจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน
เศรษฐกิจที่โตช้าหลักๆ ไม่ได้มาจากดอกเบี้ยสูงเกินไป แต่มาจากปัญหาศักยภาพ โครงสร้าง และช็อกจากต่างประเทศ การลดดอกเบี้ยจะไปกระตุ้นให้คนลงทุนหรือบริโภคมากขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนเมื่อมีปัญหาอื่นๆ ที่ต้องดูที่มาของแต่ละปัญหา
เงินเฟ้อติดลบมา 4 เดือน แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ประมาณ 1% เหตุผลหลักที่เงินเฟ้อติดลบมาจากราคาพลังงานและอาหารสด การลดดอกเบี้ยไม่ได้ส่งผลต่อราคาพลังงานโดยตรง เพราะไม่ใช่กลไกที่ทำงานแบบนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างดอกเบี้ยกับเงินเฟ้อคือ หากลดดอกเบี้ย จะกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ ทำให้เงินเฟ้อค่อยๆ ขึ้น
แต่เงินเฟ้อที่ติดลบไม่ได้มาจากฝั่งอุปสงค์ มาจากฝั่งอุปทาน (Supply) คือราคาพลังงาน ซึ่งไม่เกี่ยวกับดอกเบี้ย
สำหรับปัญหาเสถียรภาพการเงินและสินเชื่อ เหตุผลที่สินเชื่อไม่โตตามที่อยากเห็นมี 2 เหตุผลหลัก
ประการแรก คือความเสี่ยง การปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะกลุ่ม SME มีความเสี่ยงสูง ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อ SME เยอะจะเห็นสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) เพิ่มขึ้น หากปัญหาอยู่ตรงนี้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือความเสี่ยง การลดดอกเบี้ยไม่ช่วย หากธนาคารยังมองว่าเสี่ยง ก็จะไม่ปล่อยสินเชื่อ
วิธีแก้คือใช้กลไกค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งเรากำลังผลักดัน โครงการ MEGA (กลไกค้ำประกันแห่งชาติ) เพื่อลดความเสี่ยง
ประการที่สอง คือปัญหาอุปสงค์ สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ พอไปคุยจะพบว่าเขาไม่ลงทุนไม่ใช่เพราะดอกเบี้ย แต่เป็นห่วงว่าผลิตแล้วจะขายได้หรือไม่ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศมีความไม่แน่นอนจากภาษี มีการแข่งขันจากสินค้าที่ถูกผลักเข้ามาในไทย
นี่เป็นประเด็นสำคัญที่กดความรู้สึกของผู้ประกอบการมาก หลายคนเจอการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้า หากเรากระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ แต่อุปสงค์นั้นไหลไปซื้อสินค้านำเข้า จะช่วยผู้ประกอบการไทยได้อย่างไร
สิ่งที่ควรแก้คือดูเรื่องมาตรฐานสินค้าที่เข้ามา ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เข้ามาง่ายเกินไปหรือไม่ เพราะประเทศที่ส่งออกไปอเมริกาไม่ได้ก็หันมาส่งออกที่ไทยแทน
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในฐานะผู้ว่าฯ ธปท. รู้สึกอย่างไร พอใจกับผลงานของตัวเองหรือไม่
(นิ่งคิด...)
เป็น 5 ปีที่ยาวนานและรู้สึกยาวนาน
การตัดสินใจว่าพอใจหรือไม่พอใจในผลงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม ผมไม่ใช่คนที่ควรตัดสินใจเรื่องนี้ แต่เป็นสาธารณชนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับธปท. ทั้งหลายทั้งปวง ที่ควรประเมินให้คะแนน เหมือนนักเรียนสอบ คนให้คะแนนควรเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ตัวนักเรียนเอง
ในแง่ผลงาน ขอปล่อยให้ผู้อื่นตัดสินใจ
สิ่งที่ผมตอบได้ว่าพอใจคือความทุ่มเท ความใส่ใจ ไม่เพียงแค่ตัวผม แต่รวมพนักงานธปท. ในการแก้ปัญหาได้ทำอย่างเต็มที่ ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ที่เรามี
ข้อจำกัดคือการต้องชั่งน้ำหนักหลายอย่างด้วยกันตลอดเวลา หลายคนรู้สึกว่ามาตรการไม่พอ ไม่ถึง เพราะเมื่อทำอะไรต้องคิดถึงภาพรวม ส่วนรวม ระยะยาว และผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น บางครั้งผลข้างเคียงไม่เห็นในวันนี้
ตัวอย่างเช่น ในยุคก่อนหน้าที่ กนง. ไม่ขึ้นดอกเบี้ยเพราะเป็นห่วงเศรษฐกิจที่โตไม่พอ ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง แต่สิ่งที่ตามมาคือหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้นคือเรื่องในอดีต
การตัดสินใจต้องชั่งน้ำหนักหลายอย่าง ผลที่ได้อาจไม่เต็มที่เท่าที่คนอยากเห็น
แต่ในแง่การทำงาน ก่อนออกมาตรการใดๆ การทุ่มเท คิดให้ดี มีที่มาที่ไป ผมพอใจในส่วนนี้ ไม่ได้บอกว่าทำทุกอย่างถูกต้อง เพราะหลายอย่างทำไปแล้วอาจไม่เป็นไปตามที่คิด แต่เราพร้อมปรับตัว สิ่งที่ไม่ได้ผลก็ปรับแก้
ในแง่ความพอใจ ผมพอใจในความมุ่งมั่นและความทุ่มเทที่ได้ใส่ลงไปในงานนี้ (ยิ้ม)
สุดท้าย สิ่งแรกที่อยากทำหลังพ้นวาระคืออะไร
ขอไปพักผ่อน ไปนอนครับ (หัวเราะ)







