ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยคืนชีพ ดีลลดราคา 'กระบะ-ไฮบริด' บูม พนักงานทำ OT เพิ่ม

“ชิ้นส่วนยานยนต์ไทย” ฟื้นตัวจากก้นเหว หลังเผชิญวิกฤติ “ดีลลดราคากระบะ” และ “รถไฮบริดมาแรง” จุดชนวนฟื้นตัวให้ อุตฯ ยานยนต์ไทย หวนคืนสู่ OT และเรียก Sub-Contract กลับมา ขณะที่กว่า 10 บริษัทปิดตัว เหตุบริหารจัดการไม่ดีทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหว
KEY
POINTS
- ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยกำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ หลังจากเผชิญภาวะซบเซาอย่างหนักในปี 2566 ภายหลังวิกฤติโควิด-19 เกิดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนไฟแนนซ์ไม่อนุมัติ ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะลดลงอย่างต่อเนื่อง
- เมื่อรวมกับความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งค่ายรถยนต์จีนที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และยังไม่ได้ใช้ซัพพลายเชนในประเทศ ทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัวอย่างหนัก
- สถานการณ์ที่สะสมมาส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่แล้วยอดผลิตและยอดขายโดยรวมลดลง ส่งผลต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ลดลงด้วยเช่นกันในระดับ 30% มีบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ประมาณกว่า 10 แห่งที่ต้องยุติกิจการลง
ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยคืนชีพ! ดีลลดราคา-ไฮบริดบูม
จุดพลุอุตฯ ฟื้นตัว เรียกซับคอนแทรคกลับ
“ชิ้นส่วนยานยนต์ไทย” ฟื้นตัวจากก้นเหว หลังเผชิญวิกฤติ “ดีลลดราคากระบะ” และ “รถไฮบริดมาแรง” จุดชนวนฟื้นตัวให้ อุตฯ ยานยนต์ไทย หวนคืนสู่ OT และเรียก Sub-Contract กลับมา ขณะที่กว่า 10 บริษัทปิดตัว เหตุบริหารจัดการไม่ดีทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหว
หลังสถานการณ์โควิด-19 ที่เคยฉุดรั้งเศรษฐกิจทั่วโลก อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยก็เหมือนจะเริ่มฟื้นตัว แต่ภาพรวมกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ยอดผลิตรถยนต์ที่เคยเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่
การลดลงของกำลังผลิตนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่กำลังสั่นคลอนรากฐานของอุตสาหกรรมที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาอย่างยาวนาน คำถามคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะปรับตัวและหาทางออกอย่างไรในวิกฤติครั้งนี้?
นายสุพจน์ สุขพิศาล เลขาธิการ Cluster of FTI Future Mobility-ONE และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วน และอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยกำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ หลังจากเผชิญภาวะซบเซาอย่างหนักในปี 2566
นายสุพจน์ กล่าวว่า ปี 2566 เป็นช่วงที่หนักหนาสาหัสที่สุดสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบคือ ภายหลังวิกฤติโควิด-19 เกิดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ไฟแนนซ์ไม่อนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เมื่อรวมกับความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งค่ายรถยนต์จีนที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และยังไม่ได้ใช้ซัพพลายเชนในประเทศ ทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัวอย่างหนัก
“สถานการณ์ที่สะสมมาส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่แล้วยอดผลิตและยอดขายโดยรวมลดลง ส่งผลต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ลดลงด้วยเช่นกันในระดับ 30% มีบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ประมาณกว่า 10 แห่งที่ต้องยุติกิจการลง” นายสุพจน์ กล่าว
นายสุพจน์ กล่าวว่า อีกทั้ง นโยบายการขึ้นค่าแรงของไทยจาก 300 บาท เป็น 400 บาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึง 600 บาท ทำให้ผู้ประกอบการแบรนด์ญี่ปุ่นต้องพิจารณาอย่างหนักว่าจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่าหรือไม่ และเพื่อรับมือกับภาวะวิกฤติ บริษัทหลายแห่งใช้วิธีลดต้นทุนด้วยการไม่ต่อสัญญากับบริษัทซับคอนแทรกต์ และงดการทำงานล่วงเวลา (OT) อย่างสิ้นเชิง ขณะที่บางบริษัทที่ต้องการสู้ต่อก็ต้องกู้เงินเข้ามาพยุงธุรกิจ ทำให้หลายแห่งมีภาระหนี้สินสะสม
“การจ้างงานของบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์จะแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ 1. พนักงานบริษัท 2. ซับคอนแทรกต์ และ 3. ลูกจ้างลักษณะ Outsource อาทิ รปภ. แม่บ้าน และคนขับรถ ดังนั้น เมื่อธุรกิจแย่ลงช่วงปี 2565-2566 สิ่งที่ทำคือคืนซับคอนแทรกต์ซึ่งสามารถแจ้งยกเลิกสัญญาล่วงหน้า 1 เดือน และเมื่อไม่ไหวก็บริหารจัดการโดยลดจำนวนพนักงานและ Zero Over Time ซึ่งมี OT และอยู่ในภาวะเลิกกิจการ”
ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจน อาทิ บริษัท คิตากาว่า (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับยานยนต์ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น ทุนจดทะเบียน 2,560 ล้านบาท นั้น ได้เลิกธุรกิจนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนจากภาวะวิกฤติดังกล่าว ที่ธุรกิจเริ่มประสบกับปัญหาในช่วงหลังโควิดไม่นาน โดยจะเห็นข่าวประกาศปิดกิจการช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มเห็นสัญญาณบวกอย่างชัดเจน โดยยอดการผลิตกลับมาฟื้นตัวจาก 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1. ตลาดรถกระบะในประเทศกลับมาคึกคัก ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ใช้กลยุทธ์ออกรถรุ่นใหม่และลดราคาอย่างรุนแรง เช่น Toyota ที่ลดราคาลงมาเหลือประมาณ 400,000 บาท จากเดิม 600,000 บาท เพื่อแข่งขันกับรถยนต์จีน ทำให้ยอดขายกระเตื้องขึ้น แม้จะไม่หวือหวาแต่ก็ช่วยพยุงบริษัทได้
2. ตลาดรถยนต์ไฮบริดเติบโตเกินคาด ทั้งแบรนด์ Toyota และ Honda ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จากยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย Toyota เตรียมจะเปิดตัวเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1,300 ซีซีในเร็วๆ นี้ จากเดิมที่เปิดตัวเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1,800 ซีซี และ 1,500 ซีซี เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค
ทั้งนี้ จากสัญญาณบวกดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เริ่มกลับมามีการทำงานล่วงเวลา (OT) และเรียกบริษัทซับคอนแทรกต์กลับมารับงานอีกครั้ง โดยตอนนี้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์กำลังขึ้นจากก้นเหวแล้ว แต่ยังไม่ถึงปากเหว อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในปีนี้ยอดการผลิตรถยนต์รวมของไทยน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งไว้ที่ 1.45 ล้านคัน แม้ว่าจะยังไม่เท่ากับยอดผลิตของปีที่แล้วที่ 1.47 ล้านคัน แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
“ในอน่คตอันใกล้นี้ กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ อาทิ อุตสาหกรรมขนส่งทางราง อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ จะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยขณะนี้บางบริษัทเริ่มได้รับคำสั่งซื้อจากอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาแล้วคิดเป็น 3-5% ของรายได้ทั้งหมด”







