‘สภาพัฒน์’ ห่วงหนี้สหกรณ์ 2.7 ล้านล้าน แนะกำกับเท่าสถาบันการเงิน

‘สภาพัฒน์’ ห่วงหนี้สหกรณ์ 2.7 ล้านล้าน  แนะกำกับเท่าสถาบันการเงิน

สศช.ห่วงหนี้สหกรณ์ซ้ำเติมหนี้ครัวเรือน เสี่ยงก่อวิกฤตรอบใหม่หากกำกับดูแลไม่ดี หลังพบข้อมูลมียอดหนี้ให้กู้ยืมสมาชิกรวมกว่า 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 15% ของหนี้

KEY

POINTS

  • สภาพัฒน์ ห่วงหนี้สหกรณ์ซ้ำเติมหนี้ครัวเรือน เสี่ยงก่อวิกฤตรอบใหม่หากกำกับดูแลไม่ดี
  • หลังพบข้อมูลมียอดหนี้ให้กู้ยืมสมาชิกรวมกว่า 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 15% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
  • พบมีแค่ 6 แห่งของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับเครดิตบูโร แถมแต่ละแห่งกู้ง่าย คิดดอกสูง เพื่อมาจ่ายเงินปันผล
  • แนะรัฐยกระดับกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสถาบันการเงิน

“สหกรณ์” ถือเป็นหนึ่งในกลไกทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญกับประชาชนในวัยทำงานและในระบบเศรษฐกิจ โดยมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการออม และให้บริการสินเชื่อที่มีต้นทุนต่ำแก่สมาชิก โดยปัจจุบันสหกรณ์ได้กลายเป็นแหล่งกู้ยืมเงินขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกหลายล้านราย

ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนสหกรณ์ทั่วประเทศรวม 6,092 แห่ง ครอบคลุมสมาชิกกว่า 11 ล้านราย ซึ่ง สหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นสหกรณ์ประเภทที่มีมูลค่าการให้กู้ยืมมากที่สุดถึง 2.27 – 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90% ของมูลค่าการให้กู้ยืมของสหกรณ์ทุกประเภท หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ คิดเป็น 15% ของหนี้สินครัวเรือนทั้งหมด และยังมีแนวโน้มการให้กู้ยืมเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นลำดับรองจากธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ แต่กลับพบว่ามีการดำเนินงานที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และถือว่าเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจอย่างมากหากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า การกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ ของสมาชิกสหกรณ์ ถือเป็นช่องทางการกู้ยืมค่อนข้างง่าย โดยสหกรณ์ออมทรัพย์มักจะไม่มีการตรวจสอบเครดิตหรือภาระหนี้ของผู้กู้ครอบคลุมเท่าธนาคารพาณิชย์ นอกจากนั้นข้อมูลไม่เชื่อมโยงกับเครดิตบูโร และมีสหกรณ์ออมทรัพย์เพียงแค่ 6 แห่งจาก 1,369 แห่ง ที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับเครดิตบูโร โดยการเข้าร่วมระบบเครดิตบูโรเป็นการสมัครใจเท่านั้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงหรือความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผู้กู้มีหนี้จากหลายแหล่ง

‘สภาพัฒน์’ ห่วงหนี้สหกรณ์ 2.7 ล้านล้าน  แนะกำกับเท่าสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ต้องการเงินปันผลสูงสำหรับผู้ฝากเงินและผู้ถือหุ้น ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยเงินกู้สูงตามไปด้วย แม้ธนาคารพาณิชย์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่สหกรณ์อาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ส่วนการหักเงินเดือนของคนที่กู้ยืมเงินจากสหกรณ์นั้น บางสหกรณ์กำหนดวงเงินสุดท้ายของเงินเดือนที่หักหนี้แล้วเหลือน้อยกว่าปกติ (หรือเหลือน้อยกว่า 30%) ทำให้สมาชิกสามารถกู้ได้มากขึ้น และอาจนำไปสู่การกู้นอกระบบเมื่อเต็มวงเงิน

สศช.ยังพบด้วยว่าสหกรณ์ส่วนใหญ่ยังขาดแรงจูงใจในการช่วยเหลือลูกหนี้ เพราะสามารถหักเงินจากบัญชีลูกหนี้ได้โดยตรงตามกฎหมาย และสามารถหักเงินเดือนจากผู้ค้ำประกันได้ด้วย ทำให้ไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ เห็นได้จากมีสหกรณ์เพียง 400 กว่าแห่งเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้ของสมาชิกสหกรณ์

‘สภาพัฒน์’ ห่วงหนี้สหกรณ์ 2.7 ล้านล้าน  แนะกำกับเท่าสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่พยายามแก้ไขปัญหาของสหกรณ์หลายข้อ โดยมีการออกมาตรการและแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์ เช่น  การกำหนดให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกิน 4.75% ต่อปี กำหนดเกณฑ์เงินเดือนคงเหลือไม่น้อยกว่า 30% ของรายได้

การออกคำแนะนำของนายทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการให้เงินกู้แก่สมาชิกอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม รวมถึงการผลักดันให้สหกรณ์ออมทรัพย์เข้าเป็นสมาชิกกับเครดิตบูโร และการเตรียมออกมาตรการ Credit Lock เพื่อส่งข้อมูลสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้ไปยังเครดิตบูโร นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมความรู้ทางการเงินแก่สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ใหญ่ที่สุดและมีภาระหนี้สูง รวมถึงการแก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2562 เพื่อกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน และการออกกฎกระทรวงเพื่อรองรับ พ.ร.บ. ดังกล่าว

นายดนุชา ยังกล่าวต่อว่าการแก้ปัญหาหนี้สหกรณ์ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ได้แก่  

1.ด้านกฎหมาย กระบวนการออกกฎกระทรวงเพื่อกำกับดูแลสหกรณ์ใช้เวลานาน ปัจจุบันยังขาดกฎกระทรวงในหลายประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการให้กู้ การค้ำประกัน การจัดเก็บข้อมูล ซึ่งเชื่อมโยงกับเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ และการนำส่งข้อมูลเครดิตบูโร ทั้งนี้ พ.ร.บ. สหกรณ์ฯ มาตรา 89/2 กำหนดให้ต้องออกกฎกระทรวงเพื่อกำกับดูแล แต่ยังไม่สมบูรณ์ ขณะที่มาตรา 89/4 ให้อำนาจเพียงคณะกรรมการที่ปรึกษาในการเสนอแนะต่อ “นายทะเบียนสหกรณ์” เท่านั้น ส่งผลให้สหกรณ์ยังคงมีสิทธิหักเงินเดือนชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นโดยไม่จำกัด

2.ด้านการกำกับดูแล  ปัจจุบันกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักดูแลสหกรณ์ทุกประเภท แต่สหกรณ์ออมทรัพย์มีลักษณะใกล้เคียงธุรกิจสถาบันการเงิน ทั้งการรับฝากและให้กู้ยืม จึงต้องการมาตรฐานกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่าสหกรณ์ทั่วไป

3.ด้านการดำเนินงาน คณะกรรมการสหกรณ์แต่ละแห่งมีอำนาจตัดสินใจเอง ทำให้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้แตกต่างกันไป บางแห่งขาดทุนหมุนเวียน ต้องกู้จากสถาบันการเงินหรือสหกรณ์อื่นเพื่อนำมาปล่อยกู้ต่อ ทำให้มีต้นทุนสูง อีกทั้งหลายแห่งยังมีระบบจัดเก็บข้อมูลที่ไม่พร้อม และกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของสมาชิก

ดังนั้นเพื่อให้สหกรณ์ออมทรัพย์สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงของหนี้สหกรณ์ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพการเงินโดยรวม จึงจำเป็นต้องเร่งออกกฎกระทรวงให้ครบถ้วน พร้อมบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง โดยมีระเบียบชัดเจน เช่น เงื่อนไขการให้สินเชื่อที่ต้องใช้ข้อมูลเครดิตบูโรประกอบ และการกำหนดหลักเกณฑ์การให้กู้แก่สมาชิกอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม รวมถึงพิจารณาให้สหกรณ์ออมทรัพย์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสถาบันการเงิน เพื่อสร้างกลไกป้องกันความเสี่ยงและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต