ว่าด้วยอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงของกลุ่มประเทศอาเซียน ณ ปัจจุบัน | มุมมองบ้านสามย่าน

ข้ออธิบายหลักว่าด้วยแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่หรือนิกส์ (NICs) มักถูกอธิบายผ่านทฤษฎี “ห่านบิน” ของนักเศรษฐศาสตร์ญี่ปุ่นอย่าง Akamatsu
ที่อธิบายให้เห็นถึงลำดับขั้นของ “การพัฒนา” เริ่มต้นจากชาติที่ด้อยพัฒนาทางอุตสาหกรรมจำเป็นต้องส่งออกทรัพยากรธรรมชาติหรือสินค้าเกษตร เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าอุปโภคบริโภคจากชาติที่เจริญกว่า
ก่อนที่จะมีการสะสมทุนเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยยังคงต้องอาศัยสินค้าทุนจากชาติอุตสาหกรรม ก่อนที่จะเพิ่มศักยภาพในการผลิตจนกระทั่งแตะจุดสูงสุดคือ การผลิตสินค้าทุนเพื่อส่งออก ผ่านการพัฒนา “อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง” เป็นของตนเอง
ลำดับขั้นที่ว่าล้วนเป็น “เส้นทางบังคับ” ของประเทศอุตสาหกรรม ทุกประเทศล้วนพยายาม “ปีนบันได” ตามลำดับขั้นเพื่อไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ไล่ตั้งแต่ญี่ปุ่นในช่วงก่อนสงครามโลกที่เริ่มก่อน
กลุ่มประเทศ “เสือเอเชีย” อย่างเกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกง ที่สามารถยกระดับตามมาได้ มาจนถึงบรรดา “เสือน้อย” อย่างไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลากผ่านจนไปถึง จีน และเวียดนาม ที่ยังคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
บทความนี้จึงอยากพาไปชม สถานะของอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงของกลุ่มประเทศในอาเซียนว่า ณ ปัจจุบันต่างก้าวหน้าไปกันถึงไหนแล้ว
ภาคอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงที่ ณ ปัจจุบันจัดได้ว่าก้าวหน้าที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนคือ สิงคโปร์ แม้จะคิดเป็นเพียงหนึ่งในสี่ของ GDP ก็ตาม
หัวหอกของภาคอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ประกอบไปด้วย 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ความเที่ยงตรงสูง (Precision Engineering) ซึ่งเป็นอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงอื่นๆ อย่างอิเล็กทรอนิกส์ อากาศยาน และเครื่องจักรกลหนัก
2.กลุ่มเวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biosciences)
3.กลุ่มเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี ไม่รวมถึงภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่กระจุกตัวหนาแน่นเป็นคลัสเตอร์อีกมาก
ยุทธศาสตร์การพัฒนาของสิงคโปร์ ประกอบไปด้วยสองส่วน ส่วนแรกคือการเปิดกว้างต่อการลงทุนโดยบรรษัทข้ามชาติ (MNCs) จากข้อได้เปรียบในการเป็นเมืองท่า (entrepôt) บวกกับการลงทุนในการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จาก “แรงส่ง” ของบรรษัทข้ามชาติในการ “เกาะเกี่ยว” ไปสู่ส่วนบนของห่วงโซ่มูลค่าตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1960
อีกส่วนหนึ่งคือ การใช้รัฐวิสาหกิจภายใต้รูปแบบของ “บรรษัทส่วนต่อขยายของรัฐ” (Government-linked companies - GLCs) เพื่อเป็นการนำร่องไปยังกิจกรรมต้นน้ำและปลายน้ำอื่นๆ
ตัวอย่างที่ดีคือ ST Engineering ซึ่งเริ่มต้นจากการผลิตอาวุธให้กับกองทัพ และขยายขอบเขตไปสู่อุตสาหกรรมต่อเรือและการบิน ซึ่งในขณะเดียวกันการขยายตัวข้างต้นก็ช่วยดึงผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา
ที่ไล่กวดกันมาติดๆ คือภาคอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงของ มาเลเซีย ซึ่งหัวใจสำคัญคือ อุตสาหกรรมภาคอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะส่วนของผลิตภัณฑ์แผงวงจรรวม (integrated circuits) ที่คิดเป็นหนึ่งในห้าของสินค้าส่งออกทั้งหมด
ยุทธศาสตร์ของมาเลเซียเป็นไปในทิศทางเดียวกับสิงคโปร์ คือการพึ่งพาบรรษัทข้ามชาติ ผ่านการสร้าง “นิคมอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก” (EPZs) ที่ดึงดูดห่วงโซ่มูลค่าให้เข้ามาลงทุนตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งความต่อเนื่องได้พัฒนาห่วงโซ่มูลค่าแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา ไปจนถึงการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ที่จำเป็นต่อการประกอบผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายอย่างเซมิคอนดักเตอร์และแผงโซลาร์เซลล์ในฐานะของผู้ส่งออกรายใหญ่หนึ่งในห้าอันดับแรกของโลก
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงอันดับสองกลับถูกพัฒนาด้วยยุทธศาสตร์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าการที่รัฐบาลมาเลเซียเลือกใช้แนวทาง “Big Push” กับโครงการรถยนต์โปรตอนนั้นถือว่าสำเร็จหรือไม่?
การรวมทุนระหว่างรัฐและเอกชน ควบคู่ไปกับนโยบายปกป้องอย่างเข้มข้นทำให้มาเลเซียเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีขีดความสามารถในการพัฒนารถยนต์ได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
แต่การส่งออกสินค้าในกลุ่มยานยนต์คิดเป็นเพียง 1% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด แม้กระทั่งตัวบริษัทโปรตอนเองที่ในปัจจุบันยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้ผลิตรถยนต์จากจีนอย่าง Geely ที่ถือหุ้น 49.9%
ในส่วนของอินโดนีเซีย พบว่า ณ ปัจจุบัน 40% ของมูลค่า GDP มาจากภาคอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงที่โดดเด่น ประกอบด้วย อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์
อย่างไรกีดี เส้นทางการพัฒนาของอินโดนีเซียแตกต่างจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยอุตสาหกรรมส่งออกหลักของอินโดนีเซียถูกขับเคลื่อนโดย SMEs เป็นหลัก
อันเป็นผลจากนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่ยาวนานจนถึงวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียในปี ค.ศ. 1997 ก่อนที่แพ็คเกจความช่วยเหลือจาก IMF บีบบังคับให้อินโดนีเซียเลือกใช้นโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากขึ้น
ทำให้อินโดนีเซีย หันมา “เกาะเกี่ยว” กับห่วงโซ่มูลค่าผ่านบรรษัทข้ามชาติที่แห่เข้ามาลงทุนในอินโดนีเซีย ในฐานะตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ดังที่จะเห็นได้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดลำดับสองรองจากไทย และภาคอิเล็กทรอนิกส์ที่กลายเป็นหนึ่งในห้าของสินค้าส่งออกทั้งหมด
“ผู้มาใหม่” อย่างเวียดนาม ก็มีข้อแตกต่างจากประเทศอื่นๆ เพราะเวียดนามมี “สปริงบอร์ด” พิเศษในการพัฒนาอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง คือ พื้นฐานอุตสาหกรรมหนัก อย่างเหล็ก ซีเมนต์ และเครื่องจักรกลหนัก รวมไปถึงบรรดารัฐวิสาหกิจอย่าง Viettel, VNPT, and FPT ที่ล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นมรดกตกทอดจากคอมมิวนิสต์
เมื่อเวียดนามแปรรูปไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดและเริ่มเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐและยุโรปในช่วงทศวรรษ 2000 “สปริงบอร์ด” จึงกลายเป็นแรงส่งให้เวียดนาม “เกาะเกี่ยว” กับห่วงโซ่มูลค่าผ่านบรรษัทข้ามชาติในการพัฒนาอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงได้อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ครอบครองเกือบกึ่งหนึ่งของสินค้าส่งออกทั้งหมด ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกล พลาสติก และยานยนต์ที่มีสัดส่วนของการส่งออกสูงไล่ตามกันมา
เห็นได้ว่า ทางเดินที่กลุ่มประเทศอาเซียนมุ่งไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงต่างทับซ้อนกันในหลายมิติ ทั้งในมิติทางผลิตภัณฑ์ ที่ยังคงกระจุกตัวในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์
และในมิติของยุทธศาสตร์ในการพัฒนา ทั้งการพึ่งพาการลงทุนจากบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี และการที่ภาครัฐเข้ามา “ดันหลัง” ในการไต่บันไดไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง
อย่างไรก็ดี ข้อแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญคือ สัดส่วนของการใช้นโยบาย “ตลาดนำ” (ส่งเสริมการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพทรัพยากรมนุษย์) กับ “รัฐนำ” (รัฐวิสาหกิจ เงินอุดหนุน และนโยบายเฉพาะอื่นๆ) ซึ่งแตกต่างกันไปตามของบริบทและความต้องการของแต่ละประเทศ
เมื่อย้อนกลับมาที่ไทย เห็นได้ว่า เส้นทางการพัฒนาฯ ก็มิได้แตกต่างจาก “คู่แข่ง” ของเราเท่าไหร่นัก “ช่องว่าง” ที่เราควรฉกฉวยคือ การทุ่มเทเพื่อเพิ่มศักยภาพของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อไต่บันไดขั้นถัดไปสู่ อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง
กระบวนการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงเป็นสิ่งที่ไทยปฏิเสธไม่ได้ เพื่อให้เศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนและเติบโตต่อเนื่องไปในระยะยาว มิฉะนั้น เศรษฐกิจไทยก็อาจจะยังคง “ค้างเติ่ง” กับ “ทศวรรษที่สูญหายทางเศรษฐกิจ” อย่างที่ไม่เห็นหนทางจะเคลื่อนตัวออกห่างได้แต่อย่างใด.







