วิจัยพบ คนจน-คนรวย จ่าย VAT ในอัตราแท้จริงใกล้เคียงกัน

วิจัยพบ คนจน-คนรวย จ่าย VAT ในอัตราแท้จริงใกล้เคียงกัน

ล้างมายาคติ คนจนจ่าย VAT มากกว่าคนรวย กับงานวิจัยล่าสุดของ ‘อธิภัทร มุทิตาเจริญ’ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ

KEY

POINTS

  • งานวิจัยชี้ว่าในบริบทของไทย คนจนและคนรวยจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราแท้จริงที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีทั่วไปที่มองว่า VAT กระทบคนจนมากกว่า
  • ปัจจัยสำคัญคือคนรายได้น้อยใช้จ่ายกับสินค้าและบริการที่ได้รับการยกเว้น VAT เป็นสัดส่วนที่สูง เช่น อาหารสด ค่าเช่าบ้าน และค่าเล่าเรียน
  • คนรายได้น้อยมีแนวโน้มซื้อสินค้าจากร้านค้านอกระบบที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT ทำให้ภาระภาษีต่ำกว่า ในขณะที่คนรายได้สูงมักซื้อของจากร้านค้าในระบบ
  • เมื่อรวมทั้งปัจจัยการยกเว้นภาษีและเศรษฐกิจนอกระบบ งานวิจัยสรุปว่าครัวเรือนไทยทุกกลุ่มรายได้แบกรับภาระ VAT ในอัตราคงที่ใกล้เคียงกันที่ประมาณ 2% ของรายได้

หลายคนอาจทราบดีว่า “สถานะทางการคลัง” บ้านเราไม่ค่อยดีมากนัก ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก็ยืนยันไปทางเดียวกันว่ารัฐบาลต้องกู้ยืมเงินทุกปีเพื่อมาใช้จ่าย หรือเรียกง่ายๆ ว่ารัฐบาลทำงบประมาณแบบขาดดุล (Fiscal Deficit) ซึ่งสถานการณ์การขาดดุลนี้ก็แย่ลงทุกปีจากในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร – รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ในช่วงปี 2004 – 2008 อยู่ที่ -0.8% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งหมดของไทย ส่วนล่าสุดมีการคาดการณ์ว่าจะขาดดุลเพิ่มเป็น -4% ในระหว่างปี 2024 – 2028 ซึ่งถือว่าขาดดุลมากกว่ากลุ่มประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกันที่ BBB

แล้วขาดดุลไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้น คำตอบก็คือรัฐบาลก็ต้องกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายต่อเนื่องทุกปีวนไปไม่จบไม่สิ้น เงินของรัฐบาลที่ควรนำมาใช้กระตุ้นหรือพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนก็ต้องเอาไปใช้หนี้ และข้อมูลจากสศค. ยังชี้ให้เห็นอีกว่า ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลไทยต้องจ่ายก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบทะลุ10% ของรายได้สุทธิ คิดง่ายๆ รัฐบาลไทยมีรายได้ 100 บาท ต้องเอาไปจ่ายหนี้จากดอกเบี้ย 10 บาท

นี่ยังไม่ร่วมวิธีการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลไทยที่กว่า 70% ของรายจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่ยากต่อการลดทอด เช่น เงินเดือนข้าราชการ รายจ่ายสวัสดิการข้าราชการ หรือรายจ่ายสวัสดิการประชาชน เป็นต้น ทั้งหมดก็ทำให้เงินที่รัฐบาลจะใช้เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนน้อยลงไปเรื่อยๆ 

วิจัยพบ คนจน-คนรวย จ่าย VAT ในอัตราแท้จริงใกล้เคียงกัน ไทยขาดดุลการคลังเรื้อรัง

มิหนำซ้ำ ยิ่งสถานะทางการคลังไทยแย่ลงเท่าไร แนวโน้มที่บรรดาบริษัทจัดอันดับเครดิตเรทติ้งส์จะหั่นอันดับของไทยลงก็มีมากขึ้นเท่านั้น และหากไทยถูกลดอันดับเครดิตไปสู่ระดับที่ไม่น่าลงทุน หรือ Non-investment Grade ก็จะกระทบต่อทั้งภาครัฐและเอกชนในการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรเพราะต้องให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติเพื่อจูงใจนักลงทุนซึ่งก็เป็นต้นทุนของทุกฝ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

เข้าใจปัญหาแล้ว จะแก้ปัญหายังไง คำตอบที่คิดได้ง่ายและไวที่สุดก็คือรัฐบาลต้องหารายได้เพิ่ม แล้วรายได้จากไหนล่ะ ? คำตอบที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชียร์ให้รัฐบาลทำคือ ก็ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไง วิธีนี้ดูเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาแต่กลับไม่มีรัฐบาลไหนกล้าทำเพราะกลัวเสียคะแนนนิยมทางการเมือง

แล้วฐานเสียงของพรรคการเมืองหลายต่อหลายพรรคเวลาเลือกตั้งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มคนรายได้น้อยซึ่งในทางทฤษฎีก็ชี้ให้เห็นว่าการขึ้นภาษีแวตจะกระทบคนรายได้น้อยมากที่สุด (Regressive) ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ นายเอรายได้ 10,000 บาทต่อเดือน ใช้จ่ายต่อเดือนส่วนมากกับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น อาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง รวมๆ ที่ 9,500 บาทต่อเดือน จ่ายแวตไป 7% อยู่ที่ 665 บาท ดังนั้นสัดส่วนแวตต่อรายได้ของนายเอจะอยู่ที่ 6.65%

ตัดภาพมาที่นายบี เงินเดือน 100,000 บาทต่อเดือน ใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค และของฟุ่มเฟือยบ้าง รวมต่อเดือนที่ 40,000 บาท ส่วนที่เหลือนำไปลงทุนที่ไม่ต้องเสียภาษี ในกรณีนี้นายบีจะจ่ายแวต 7% อยู่ที่ 2,800 บาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่เพียง 2.8% จากตัวอย่างนี้จะเห็นว่า สัดส่วนการจ่ายแวตเมื่อเทียบกับรายได้ของคนเงินเดือนสูงกว่าจะน้อยลง

วิจัยพบ 'จน-รวย' จ่ายอัตราภาษีแวตที่เเท้จริงเท่ากัน

อย่างไรก็ตาม ในบริบทประเทศไทยอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะงานวิจัยล่าสุดของรศ.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “ถอดรหัสภาระ VAT คนไทย จากงานวิจัยเชิงประจักษ์สู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย” เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า บริบทการจ่ายแวตในประเทศไทยอาจกลับกันคือ คนรายได้สูงและคนรายได้ต่ำในประเทศไทยเสียภาษีแวตในอัตราแท้จริง (Effective Rate) ที่ใกล้เคียงกัน

งานวิจัยระบุว่า คนรายได้ต่ำในประเทศไทยมักบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคที่รัฐบาลยกเว้นการเก็บภาษี เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ค่าเช่าบ้าน และค่าเล่าเรียน จึงทำให้สัดส่วนภาระภาษีแวตต่อรายได้โดยรวมของคนกลุ่มนี้อาจไม่ได้สูงอย่างที่หลายคนเข้าใจ โดยงานวิจัยค้นพบว่า ราว 35% ของการบริโภคในครัวเรือนไทยได้รับการยกเว้นภาษี ยิ่งในพื้นที่ชนบนตัวเลขการยกเว้นอาจสูงถึง 38%

วิจัยพบ คนจน-คนรวย จ่าย VAT ในอัตราแท้จริงใกล้เคียงกัน สินค้าจำเป็นที่บริโภครายวันส่วนใหญ่ยกเว้นภาษีแวต

ปัจจัยที่สองที่ทำให้ภาระภาษีแวตของคนรายได้ต่ำอาจไม่ได้สูงอย่างที่หลายคนเข้าใจคือข้อเท็จจริงจากงานวิจัยที่ว่า ยิ่งรายได้ต่ำเท่าไรก็จะยิ่งซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีกับภาครัฐทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระภาษี ในขณะที่คนรายได้สูงมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่อยู่ในระบบของภาครัฐ ดังนั้นจึงทำให้คนรายได้สูงอาจได้รับผลกระทบจากภาษีแวตมากกว่าคนรายได้ต่ำจากข้อเท็จจริงนี้

แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนรายได้ต่ำจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีเลย เพราะในบริบทประเทศไทย ร้านค้าของชำที่ไม่ได้จดทะเบียนกับภาครัฐก็ยังต้องไปซื้อสินค้าจากห้างร้านขนาดใหญ่ที่ผูกขาดในประเทศไทย ดังนั้นก็อาจมีการส่งผ่านภาษีแวตมาให้ผู้บริโภคเป็นทอดทอดได้ โดยงานวิจัยของรศ.อธิภัทร ระบุว่า อัตราการส่งผ่านภาษีจะอยู่ที่เพียง 50% เท่านั้น

วิจัยพบ คนจน-คนรวย จ่าย VAT ในอัตราแท้จริงใกล้เคียงกัน เศรษฐกิจนอกระบบปัจจัยบรรเทาภาระเเวตคนรายได้น้อย

เมื่อนำทั้งปัจจัยเรื่อง "เศรษฐกิจนอกระบบ" และ "การยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าจำ" เป็นมาพิจารณาแล้ว งานวิจัยชิ้นนี้ สรุปว่า ครัวเรือนไทยแบกรับภาษีแวตในอัตราคงที่ประมาณ 2% ในทุกกลุ่มรายได้ หรือ เรียกว่าเป็นอัตราภาษีแบบสัดส่วน (Proportional) ไม่ใช่แบบถดถอย (Regressive) อย่างที่หลายคนเข้าใจ

วิจัยพบ คนจน-คนรวย จ่าย VAT ในอัตราแท้จริงใกล้เคียงกัน

คำถามที่น่าถามต่อไปคือ แล้วคุณูปการของข้อค้นพบของงานวิจัยชิ้นนี้คืออะไร ดร. สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาในการนำเสนองานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า ข้อเท็จจริงนี้ก็จะช่วยให้ “แรงเสียดทาน” ในการที่รัฐบาลจะขอประชาชนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มน้อยลงจากมายาคติที่ว่าคนรายได้ต่ำมักแบกรับภาษีมากกว่าคนรายได้สูง

แนะ 3 มาตรการเยียวยาหากขึ้นภาษี

ทีนี้ ต้องยอมรับว่า การเพิ่มภาษีล้วนเป็นภาระของประชาชนทั้งสิ้นไม่ว่าจะกลุ่มรายได้ไหนเพราะหมายความว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้น ดังนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ของรศ.อภิภัทร จึงแนะนำแนวทางการเยียวยาประชาชนในกรณีที่รัฐบาลต้องการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ทั้งหมด 3 แบบ

อย่างแรกคือการกำหนดแวตหลายอัตราโดยแบ่งตามความจำเป็นของสินค้า ยกตัวอย่างประเทศที่เคยทำคือญี่ปุ่นที่กำหนดแวต 10% สำหรับสินค้าทั่วไปและ 8% สำหรับสินค้าที่ซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน หรืออินโดนีเซียกำหนดอัตราภาษี 12% สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยและ11% สำหรับสินค้าทั่วไป

ข้อเสนอที่สองคือการที่รัฐจ่ายเงินอุดหนุนผู้ที่มีรายได้น้อยจากการขึ้นภาษีแวต ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลสิงคโปร์ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสามครั้งจาก 7% เป็น 8% แล้วล่าสุดอยู่ที่ 9% โดยเพื่อลดแรงเสียดทานจากประชาชน รัฐบาลประกาศให้เงินอุดหนุนประชาชนทุกกลุ่มตามการพิจารณาจากรายได้และทรัพย์สิน หรือรัฐบาลญี่ปุ่นให้ส่วนลด (rebate) สำหรับการชำระเงินผ่านระบบจ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์กับประชาชน

ส่วนข้อเสนอที่สามคือการทำแวตแบบก้าวหน้าหรือ Progressive VAT ตามข้อเสนอเมื่อปี2024 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ให้เก็บแวตเป็นอัตราเดียว แต่จะให้เงินอุดหนุนแบบเรียลไทม์ผ่านกลไกดิจิทัลสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย ณ จุดที่มีการชำระเงิน ตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุดคือในปี 2018 ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี คืนภาษีแวต 6% ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐ โดย 5% คืนให้ผู้ถือบัตรแต่ไม่เกิน 500 บาทต่อเดือนและอีก1% โอนเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ (ก.อ.ช.)