ทั่วโลกเกาะเทรนด์ ‘เลย์ออฟ’ จับตา ‘ธุรกิจไทย’ ปรับใหญ่ทิ้งคนไม่พร้อมไว้ข้างหลัง

ทั่วโลกจับตาครึ่งปีหลังระวัง AI แย่งงานสายเทค รวมถึงเจน Z หลังครึ่งปีแรกทั่วโลกเลย์ออฟอ่วม “ภาคธุรกิจไทย” จับตาเทรนด์ลดการจ้างงาน “ศรีจันทร์” มองทิศทางปรับระบบครั้งใหญ่ ทิ้งคนไม่พร้อมไว้ข้างหลัง ส.อ.ท.ชี้เทรนด์โลกองค์กรใหญ่ใช้ AI ลดต้นทุน “แรงงาน” คือต้นทุนหลัก 10-30% นายจ้างยุคใหม่นิยมจ้างงานแบบ ‘จ็อบ-ผลงาน’
KEY
POINTS
- ตลาดงานทั่วโลก กำลังเผชิญภาวะเลิกจ้างครั้งใหญ่ โดยบริษัทข้ามชาติ เช่น โฟล์คสวาเกน นิสสัน รวมถึงหน่วยงานรัฐในสหรัฐ ได้ประกาศลดพนักงานจำนวนมาก เพื่อรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการเข้ามาของเทคโนโลยี AI
- ผู้ประกอบการไทยกำลังปรับตัวเพื่อลดต้นทุน โดยหันมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น AI หรืออุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการใช้แรงงานลงอย่างมีนัยสำคัญ
- การที่บางส่วนมองว่านายจ้างเปลี่ยนไปจ้างงานแบบพาร์ตไทม์มากขึ้นนั้น ไม่ใช่ความจริง เพราะนายจ้างยังคงต้องการจ้างพนักงานแบบเต็มเวลาอยู่ แต่หาคนได้ยาก เนื่องจากทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่นิยมทำงานอิสระมากกว่าการทำงานประจำ
ตลาดงานทั่วโลก เผชิญภาวะระส่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อบริษัทข้ามชาติหลายธุรกิจทยอยประกาศการเลิกจ้างครั้งใหญ่ ในขณะที่สถานการณ์การจ้างงานในไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ทั่วโลก เผชิญปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้า ซึ่งทำให้ประเมินว่าการส่งออกไทยช่วงครึ่งหลังปี 2568 จะชะลอตัว
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาเตือนผ่านรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2568 ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในระยะที่ผ่านมา ทำให้องค์กร และภาคธุรกิจปรับรูปแบบการจ้างงานแบบพนักงานประจำเต็มเวลา เป็นรูปแบบของงานสัญญาจ้าง และงานพาร์ตไทม์มากขึ้น
ในขณะที่เริ่มเห็นองค์กรใหญ่บางแห่งเปิดโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยธนาคารกสิกรไทยเปิดโครงการเฉพาะคราวภายในปี 2568 ภายใต้โครงการ “เกษียณก่อน เกษมสุข” เพื่อให้โอกาสพนักงานที่มีอายุ 45 ปี ขึ้นไปเปลี่ยนอาชีพที่เหมาะสมแก่ตนเองขึ้น
นอกจากนี้ สศช.ยังติดตามสถานการณ์การจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ โดยสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่ไทยถูกจัดเก็บอัตรา 19% รวมทั้งมีมาตรการป้องกันการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า และจัดเก็บภาษีเฉพาะในสินค้าบางรายการ ซึ่งทำให้สินค้าไทยแข่งขันยากขึ้น และกระทบการจ้างงานหรือชั่วโมงการทำงานของแรงงาน
ในขณะที่การจดทะเบียนเลิกธุรกิจในช่วง 7 เดือน แรกของปี 2568 มีจำนวน 8,069 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท รวม 8 บริษัท อาทิ บริษัท อินโดรามา ปิโตรเคม จำกัด ทุนจดทะเบียน 10,146 ล้านบาท , บริษัท ทรู ไลฟ์ พลัส จำกัด 2,575 ล้านบาท , บริษัท คิตากาว่า (ประเทศไทย) จำกัด 2,560 ล้านบาท , บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด 1,800 ล้านบาท , บริษัท บางกอกโซลาร์ จำกัด 1,432 ล้านบาท
ทิศทางปรับใหญ่ทิ้งคนไม่พร้อมไว้ข้างหลัง
นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด กล่าวว่า หลังบริษัทใหญ่ประกาศนโยบายลดอายุเกษียณทำงานวัย 45 ปีขึ้นไป สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงมี 3 มิติ ได้แก่ มิติของไทยต้องเปลี่ยนระบบอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนสิงคโปร์เคยทำเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะเผชิญปัญหาคนทำงานอายุ 40-45 ปี ค่าตัวแพงเกินไปทำให้ไม่เกิดความต้องการจ้างงานส่งผลให้รายได้มนุษย์เงินเดือนไม่พอศักยภาพ
“รัฐบาลต้องปรับทักษะหรือรีสกิลครั้งใหญ่เป็นวาระแห่งชาติ จัดตั้งศูนย์ต่างๆ ขึ้นมาช่วยเหลือ เช่น คนขับแท็กซี่อายุ 51 ปี เคยมีทักษะเครื่องกล ต่อยอดการซ่อมไฟต่าง โปรแกรมเมอร์อายุ 52 ปี ให้ไปทำโปรเจกต์ต่างๆ ภาพรวมทำให้ระบบเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็ว”
ส่วนมิติองค์กร วันนี้ต้องมาคิดหากบริษัทไม่รับคนเพิ่มหรืออาจลดคนด้วย เพื่อนำ AI มาใช้ แล้วใครจะเป็นผู้บริโภคหรือซื้อสินค้า และบริการ ระยะสั้นอาจลดต้นทุน แต่หากกระทบโครงสร้างประชากร รายได้ จะมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งองค์กรใหญ่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้
ขณะที่มิติบุคคลหากต้องเกษียณอายุทำงานในวัย 45 ปี แล้วต้องมีชีวิตอยู่ร้อยปี การจะมีเงินใช้ช่วงเวลาที่เหลือเป็นไปได้ยากจึงมองว่าคนทำงานไม่ควรหยุดหรือเกษียณในวัย 60 ปีด้วยซ้ำ ไม่แค่ 45 ปี แต่หากต้องเกษียณ ถึงเวลาที่ต้องมองหาอาชีพที่ 1-2-3 วางแผนตัวเองให้พร้อม
“เราต้องเปลี่ยน หากหวังพึ่งประเทศ คงเปลี่ยนไม่ทัน เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา มีจิตใจเป็นนักเรียน ต้องถ่อมตัวตลอด เราไม่รู้อะไรเลย เพื่อได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ต้องวางหัวโขนเดิมลงให้ได้ บางคนตำแหน่งใหญ่ วางไม่ลง ไปต่อข้างหน้ายาก ที่สำคัญกำลังใจ ต้องสู้ ทั้งประเทศหากต้องการเปลี่ยนแปลง”
นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด (Show No Limit) หรือ BT Beartai กล่าวว่า เวลาที่รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงปรับอะไรใหม่หรือพาประชากรทุกคนเข้าสู่สิ่งใหม่มักมีประโยค “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ฟังดูดี แต่ชีวิตจริงทำไม่ได้ โดยเฉพาะไม่สามารถรอให้ทุกคนพร้อมจะไม่มีวันนั้น สุดท้ายประเทศต้องทิ้งใครสักคนไว้ข้างหลัง เพื่อการก้าวข้ามไปโลกใหม่
เทรนด์ทั่วโลกมุ่งลดจำนวนพนักงาน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ต้นทุนแรงงานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10-30% ขึ้นกับแต่ละบริษัท แต่มีต้นทุนอื่น เช่น ค่าเช่าออฟฟิศ ค่าไฟ และค่าแม่บ้าน ซึ่งเป็นต้นทุนที่ลดลงได้มาก
ดังนั้น การปรับตัวเช่นนี้เป็นการลดไขมันส่วนเกินที่ไม่จำเป็น ซึ่งทั่วโลกกำลังมุ่งไปทิศทางนี้ ประกอบกับกฎระเบียบโลกในเรื่องภาษีสหรัฐเป็นอีกปัจจัยที่เร่งให้ทุกประเทศต้องรีบปรับตัวเพื่อลดต้นทุน ซึ่ง AI ทดแทนคนได้มาก โดยเฉพาะงานบริหารจัดการ เช่น เลขานุการ หรืองาน Admin ที่เป็นงานซ้ำซากที่ในอดีตต้องใช้คนจำนวนมาก”
ขณะนี้ผู้ประกอบการในไทยกำลังปรับตัว และปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่เพื่อประหยัดต้นทุน โดยหันมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น AI หรืออุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการใช้แรงงานลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สอดคล้องคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกว่าในอนาคต AI จะทำให้คนหลาย 100 ล้านคน ต้องตกงาน เพราะกระแสนี้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐที่บริษัทใหญ่ลดจำนวนพนักงานลง และนำ AI มาทำงานทดแทนแห่งละหลักพันหลักหมื่นคน
นอกจากนี้ รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้นตั้งแต่ยุคโควิด-19 เช่น การทำงานจากที่บ้านและการจ้างงานแบบเป็นกรณีไป (Project-based) ยิ่งทำให้บริษัทลดต้นทุนได้ ส่งผลให้ในอนาคตอาคารสำนักงานจะมีขนาดเล็กลง เพราะเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนได้มากขึ้น
รวมทั้งตรวจสอบการทำงานทางออนไลน์ได้ว่าพนักงานทำงานจริงหรือไม่ ไม่ต้องเสียค่าเช่าออฟฟิศ และค่าโอที ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงขึ้น การลดต้นทุนจะนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
สังคมสูงวัย-เทรนด์คนรุ่นใหม่ ทำขาดแรงงาน
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้า และอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เศรษฐกิจไทย 7 เดือนแรกยังแกร่งกว่าคาด โดยตัวเลขว่างงานต่ำสุดในรอบหลายปี สะท้อนภาคส่งออกยังแข็งแรง แต่เตือนให้จับตาเดือน ก.ย. เป็นต้นไป หลังสต๊อกสินค้าสหรัฐหมด คาดตัวเลขส่งออกจะหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า
“7 เดือนแรกของปีนี้เศรษฐกิจไทยยังคงทรงตัวไม่ต่างจากต้นปี โดยมีภาคการส่งออกเป็นเสาหลักสำคัญที่ช่วยพยุงการจ้างงานไว้ การส่งออกเติบโตถึง 14% และตัวเลขการว่างงานล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติอยู่ที่เพียง 0.7% ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และปีที่แล้วทั้งปีที่อยู่ที่ 1%”
ดังนั้น ภาพของไทยตอนนี้ไม่ใช่คนว่างงาน แต่เป็นภาพของการขาดแคลนแรงงานมากกว่า โดยกระทรวงแรงงาน จะต้องเตรียมดึงแรงงานต่างชาติเข้ามาเพิ่ม ทั้งจากกัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และยังเปิดให้แรงงานผิดกฎหมายมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าภาคธุรกิจต้องการคนทำงานจริง ไม่ใช่มีคนตกงานตามที่หลายฝ่ายกังวล
นอกจากนี้ การที่บางส่วนมองว่านายจ้างเปลี่ยนไปจ้างงานแบบพาร์ตไทม์มากขึ้นนั้น ไม่ใช่ความจริง เพราะนายจ้างยังคงต้องการจ้างพนักงานแบบเต็มเวลาอยู่ แต่หาคนได้ยาก เนื่องจากทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่นิยมทำงานอิสระมากกว่าการทำงานประจำ
“ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของไทยก็ยังคงเป็นทุนเดิมอยู่ เพราะไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จำนวนเด็กจบใหม่ลดลงทุกปี และทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบทำงานประจำจะยิ่งซ้ำเติมปัญหานี้ให้รุนแรงขึ้นในอนาคต ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องของการสร้างงาน แต่เป็นการหาคนเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่ยังคงว่างอยู่”
ทั่วโลกจับตาครึ่งปีหลังระวัง AI แย่งงาน
ตลาดงานทั่วโลกเผชิญภาวะระส่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อบริษัทข้ามชาติหลายธุรกิจทยอยประกาศการเลิกจ้างครั้งใหญ่ รับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการดิสรัปหลายอุตสาหกรรม เช่น “โฟล์คสวาเกน” บริษัทรถยนต์ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมเยอรมนี ประกาศแผนเมื่อปลายปี 2567 และเริ่มปรับโครงสร้างปีนี้ กับแผนเลิกจ้าง 35,000 คนภายใน 5 ปี
ขณะที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น “นิสสัน มอเตอร์” ต้องปรับโครงสร้างใหญ่เช่นกันพร้อมแผนเลิกจ้างพนักงานถึงราว 20,000 คน
ส่วน “งานราชการ” ที่เคยเป็นงานที่มั่นคงกลายเป็นฝันร้ายในสหรัฐ เมื่อกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) ซึ่งเป็นหนึ่งหน่วยงานในการกำกับของอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอดีตที่ปรึกษาคนสนิทของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าเลิกจ้างในหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อลดรายจ่ายลดการขาดดุลงบประมาณให้สหรัฐ โดยเดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานเมื่อปลายเดือนก.ค.ว่า มีข้าราชการและลูกจ้างของรัฐถึง 150,000 คนทั่วสหรัฐ ที่ยอมรับข้อเสนอให้ออกจากงาน
สำหรับครึ่งหลังปี 2568 ตลาดงานโดยเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งผ่านความตึงเครียดจากสงครามการค้าโลกมาแล้ว กำลังแสดงสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่แรงงานกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเข้ามาแทนที่ของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
จับตาAIแย่งงานสายเทค-เจนZ
บริษัทจัดหางานชาเลนเจอร์ เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส เปิดเผยรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 การนำ AI เชิงสร้างสรรค์ หรือ Generative AI มาใช้จ้างภาคเอกชน เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10,000 ตำแหน่งงาน และ AI ยังเป็นหนึ่งในห้าปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเลิกจ้างในปี 2568 นี้ด้วย
ตลอดเดือนก.ค.บริษัทในสหรัฐประกาศลดตำแหน่งงานภาคเอกชนมากกว่า 806,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในช่วงดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2563 ตามข้อมูลของบริษัท
ทั้งนี้ บรรดาการเลิกจ้างเหล่านี้ “ภาคเทคโนโลยี” เป็นกลุ่มได้รับผลกระทบรุนแรงสุด โดยบริษัทเอกชนลดตำแหน่งงานมากกว่า 89,000 ตำแหน่ง หรือเพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน และตั้งแต่ปี 2566 ลดตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ AI ไปแล้วกว่า 27,000 ตำแหน่ง
“อุตสาหกรรมนี้กำลังถูกเปลี่ยนโฉมใหม่ด้วยความก้าวหน้าของเอไอ และความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับวีซ่าทำงาน ซึ่งส่งผลให้มีการลดจำนวนพนักงาน” รายงานของชาเลนเจอร์ฯ ระบุ
ขณะที่แฮนด์เชก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านการจ้างงานที่มุ่งเน้นกลุ่มเจน Z เปิดเผยว่า ผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานน่าจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ โดยรายชื่อตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นที่ปกติแล้วจะเป็นของบัณฑิตจบใหม่ มีจำนวนลดลงถึง 15% ในปีที่ผ่านมา และมีนายจ้างที่ใช้คำว่า “AI” ในคำอธิบายตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นถึง 400%
ชี้ปัจจัยตกงานไม่ได้มีแค่ AI
ทั้งนี้ แม้ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของชาวอเมริกัน แต่มีปัจจัยอื่นที่กระทบโดยตรงต่อตลาดแรงงานมากกว่า ชาเลนเจอร์ระบุว่า มีตำแหน่งงานมากกว่า 292,000 ตำแหน่งที่ถูกปลดออกปีนี้ เพราะการตัดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง DOGE ของอีลอน มัสก์
นอกจากนี้ การเลิกจ้างยังเร่งตัวขึ้นในภาคค้าปลีกขนาดใหญ่ เนื่องจากภาษีศุลกากรทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น โดยภาคค้าปลีกได้ประกาศลดตำแหน่งงานมากกว่า 80,000 ตำแหน่งจนถึงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 250% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







