“ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า”เกณฑ์ใหม่ อุดช่วงโหว่ลดช่องว่างการค้าโลก

“ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า”เกณฑ์ใหม่ อุดช่วงโหว่ลดช่องว่างการค้าโลก

กฎถิ่นกำเนิดสินค้า กำลังเป็นจุดเปลี่ยนเกมส์สำคัญของการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน เนื่องจาก อัตราภาษีที่ได้ข้อสรุปกันแล้วทั้งในกรอบสหรัฐที่ภาษีทรัมป์อยู่ที่ี 19% และข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆทั้งที่กำลังเจรจาหรือเจรจาเสร็จสิ้นแล้ว ที่อัตราภาษี0% นั้น

 อาจไม่มีประโยชน์เลยหากกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ หรือ เป็นแหล่งกำเนิดสินค้าแฝงที่เกิดจากความตั้งใจเพื่อสวมสิทธิทางการค้า ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีแค่ถิ่นกำเนิดสินค้าท้องถิ่น หรือ Local Content เท่านั้นแต่ยังมีการคำนึงถึงเกณฑ์การคำนวณมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังก่อนออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้อีกด้วย 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะ เข้าพบเพื่อประชุมหารือแนวทางการกำหนดท่าทีการเจรจาการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมภายใต้ FTA ไทย-เกาหลีใต้ และ FTA ไทย-EU และหารือแนวทางการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificated of Origin : C/O) กฎถิ่นกำเนิดสินค้า และสินค้าสวมสิทธิ์  โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศที่ยังไม่มีความตกลงการค้าเสรีกับไทย เช่น สหรัฐ 

โดยเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ทั้งในด้านการพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงการจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ

กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการยกระดับและสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ และการคำนึงถึงเกณฑ์การคำนวณมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดต่อการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม 

รวมถึงการผลักดันระบบ i-Single Form ที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังพัฒนา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการยื่นคำขอและรับรองเอกสารด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และตรวจสอบได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้วัตถุดิบและการผลิต (Local Content) ภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงสินค้าและบริการของผู้ประกอบการไทยให้อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของนักลงทุนทั่วโลกที่ประกอบกิจการในประเทศไทย

สำหรับการเจรจา FTA ไทย–EU มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยมีการเจรจาแล้ว 6 รอบ และสามารถสรุปความตกลงได้แล้ว 7 บท จากทั้งหมด 24 บท ประมาณ 1 ใน 3 หากบรรลุผลสำเร็จ จะเป็นโอกาสสำคัญต่อการค้าและการลงทุนของไทย สร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงตลาดสหภาพยุโรปที่มีขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง พร้อมดึงดูดการลงทุนจากธุรกิจยุโรปในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังช่วยยกระดับมาตรฐานการค้าไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและแรงงานของสากล

    โดยรอบการเจรจาครั้งที่ 7 กำหนดจัดขึ้นปลายเดือนก.ย.นี้ ณ กรุงบรัสเซลส์ สหภาพยุโรป ซึ่งไทยตั้งเป้าเดินหน้าเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด แต่ยังคงยึดหลัก “ความเร็วที่มาพร้อมคุณภาพ” เพื่อให้ข้อตกลงครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนไทยทุกกลุ่มอย่างแท้จริง

ต้องเจรจาอย่างรอบคอบไม่ให้กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน อีกทั้งสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นภาษีของสหรัฐ ถือเป็นแรงกดดันที่ทำให้ทั้งไทยและสหภาพยุโรปเร่งการเจรจาปิดดีลให้ได้เร็วขึ้นเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการค้าของทั้งสองฝ่ายด้วย