Fed เปลี่ยนทิศที่ Jackson Hole | Global Vision

Fed เปลี่ยนทิศที่ Jackson Hole | Global Vision

ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เขียนภาคต่อของบทความที่แล้ว “อเมริกาจะล้มละลายได้อย่างไร” หลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของการส่งสัญญาณนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)

ในงานสัมมนาวิชาการ Jackson Hole Economic Symposium เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา 

การแถลงข่าวครั้งนี้ของประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เมื่อเขาส่งสัญญาณชัดเจนว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ ท่ามกลางความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อยังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน 

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการแถลงครั้งนี้ คือ พาวเวลล์กล่าวอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกว่า ผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นถือเป็น “การเปลี่ยนระดับราคาแบบครั้งเดียว” (one-time price level shift) ไม่ใช่แรงกดดันเงินเฟ้อแบบต่อเนื่อง แม้ว่าความเสี่ยงของสงครามการค้าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นก็ตาม

ทำให้ผู้เขียนมองว่า มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ย 25 basis points สู่ 4.1% ในการประชุมเดือน ก.ย. และหากเงินเฟ้อยังไม่สูงขึ้นมาก อาจลดได้อีกครั้งในการประชุมเดือน ต.ค.

ผู้เขียนมองว่า การตัดสินใจนี้เป็นการยอมโอนอ่อนต่อแรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ โดย Yale Budget Lab มองว่าการปรับขึ้นภาษีจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.8% ในระยะสั้นและ 1.5% ในระยะยาว ขณะที่ผู้เขียนมองว่าเงินเฟ้อจะขึ้นสู่ 3.6% ในช่วงสิ้นปี จากปัจจุบันที่ประมาณ 2.7% ซึ่งการปรับท่าทีนี้ขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ Fed คนอื่นๆ 

เช่น Austan Goolsbee (ประธาน Fed Chicago) ที่กังวลเรื่องเงินเฟ้อด้านบริการ หรือ Beth Hammack (ประธาน Fed Cleveland) ที่ไม่เห็นจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยใน ก.ย. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่าย เช่น จากธนาคาร Bank of America กังวลว่าอาจเป็น “นโยบายผิดพลาด” เนื่องจากเศรษฐกิจแสดงสัญญาณฟื้นตัว หุ้นยังอยู่ใกล้จุดสูงสุด และเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมาย 2%

นอกจากจะเปลี่ยนมุมมองทิศทางดอกเบี้ยในระยะสั้นแล้ว Fed ยังเปลี่ยนกรอบการดำเนินนโยบายการเงินด้วย โดยปรับเปลี่ยนจากกรอบเดิมที่เน้นค่าเฉลี่ยเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างยืดหยุ่น (Flexible Average Inflation Targeting (FAIT)) เป็นการเน้นการจ้างงานสูงสุดที่ไม่กระทบเสถียรภาพราคา บ่งชี้ว่า Fed มุ่งเน้นความสำคัญตลาดแรงงานมากขึ้นกว่าการควบคุมเงินเฟ้อในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยปัจจุบัน เงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ ทั้งราคาอาหารและการเดินทาง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้าน และค่าจ้างต่างๆ ในครึ่งปีหลัง ปัจจัยฐานสูงของราคาน้ำมันจะหมดไป และเชื่อว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายปี ซึ่งจะทำให้ Fed ต้องเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป

ความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นทั้งจากภาษีศุลกากร ประกอบกับธนาคารกลางที่ทำนโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไป ทั้ง ๆ ที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อเป็นขาขึ้น จะทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อในอนาคตเพิ่มขึ้น ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้น และเมื่อประกอบกับการขาดดุลการคลังที่มากขึ้นตามที่ Ray Dalio ระบุไว้ในหนังสือ “How Countries Go Broke” 

ที่สหรัฐปัจจุบันมีรายได้ 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ใช้จ่าย 7 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ขาดดุลงบประมาณปีละ 2 ล้านล้านดอลลาร์ และเมื่อสหรัฐขาดดุลการคลังมากขึ้น (ปัจจุบันขาดดุลประมาณ 6.5% GDP) ทั้งจากการลดหย่อนภาษีต่างๆ เช่น ทิป และภาษีจากมลรัฐ จะทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้ต้องออกพันธบัตรมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐระยะต่อไปปรับตัวเพิ่มขึ้น

โดยปกติแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ผลตอบแทนพันธบัตรกลับทิศ (Inverted Yield Curve) จะเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอยใน 1-2 ปีข้างหน้า (ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นในปี 2022-2024) แต่เวลาที่เกิดวิกฤติจริง ส่วนต่างของผลตอบแทนพันธบัตร 2 และ 10 ปี (2-10 yield curve) จะกลับมา เป็นปกติ

โดยส่วนต่างผลตอบแทนทั้งสองจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 1% ซึ่งการลดดอกเบี้ยของ Fed ท่ามกลางความเสี่ยงเงินเฟ้อขาขึ้น จะทำให้ 2-10 ปรับเพิ่มขึ้น โดยผู้เขียนคาดว่าอาจจะเข้าสู่ 1.2% ในปลายปี (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.5%)

ทั้งนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง Fed จะมีทางเลือก 2 ทาง ได้แก่

1.อาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2026 หากเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแตะระดับ 4-5% เพื่อคุมเงินเฟ้อ แต่ก็จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะถดถอย

2.หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดในช่วงการเปลี่ยนประธาน Fed เป็นคนใหม่ ซึ่งอาจเลือกที่จะยอมทนต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจที่ชะลอลง

โดยเลือกที่จะเพิ่มปริมาณเงินผ่านการกลับมาทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีกครั้งหนึ่ง เพื่อกดผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวให้ลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว (เช่น 10 ปี) เป็นมาตรวัดสำคัญของต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ

หาก Fed เลือกทางเลือกที่สอง ในมุมมองของ Ray Dalio อาจทำให้เกิดวิกฤติดอลลาร์และนำมาสู่การยุติลงของเงินดอลลาร์ในฐานะเงินสกุลกลาง (Anchor currency) ของโลกได้

Ray Dalio มองว่า จะมี 2 เหตุการณ์ที่จะนำมาซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ อันได้แก่ (1) การทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องเพิ่มมากขึ้นและดอกเบี้ยลดลง

(2) รัฐบาลกลางสามารถควบคุม Fed ได้ (ซึ่งอาจเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อทรัมป์ประกาศชื่อประธาน Fed ท่านใหม่ในกลางปีหน้า)

โดยสรุป สิ่งที่เกิดขึ้นที่ Jackson Hole อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของความยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจสหรัฐ การที่รัฐบาลบังคับให้ Fed ลดดอกเบี้ย เพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐลดลงและทำให้เกิดเงินเฟ้อ เพื่อให้มูลค่าที่แท้จริงของหนี้สาธารณะลดลง

แต่การลดดอกเบี้ยท่ามกลางเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้น จะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น และอาจทำให้หมดความน่าเชื่อถือในอนาคต

การเปลี่ยนทิศทางที่ Jackson Hole อาจไม่ใช่แค่การปรับนโยบายการเงินครั้งหนึ่ง แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจโลก หากแรงกดดันทางการเมืองต่อ Fed เพิ่มขึ้นและความเป็นอิสระของธนาคารกลางถูกบ่อนทำลาย อาจนำไปสู่วิกฤติความเชื่อมั่นในระบบการเงินสหรัฐและระบบเศรษฐกิจโลกในที่สุด

แม้สิ่งที่ผู้เขียนกังวลอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบาย ควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาข้างหน้า

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่