'สภาพัฒน์' แนะแรงงานสมัครใจลาออกอายุ 45 ต้องมีแผนอาชีพรองรับ

"สภาพัฒน์" เตือนแรงงานคิดรอบคอบ เข้าโครงการสมัครใจลาออก หลังมีองค์กรลดอายุโครงการเหลือแค่อายุ 45 ปี ชี้เงินที่ได้ไม่เพียงพอเลี้ยงตัวเอง ถึงอายุ 70 – 80 ปี ได้
วันนี้ (25 ส.ค.2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตอบคำถามสื่อมวลชนในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ว่าในการเปิดโครงการสมัครใจลาออกในกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไปว่า ในมุมหนึ่งการเปิดโครงการสมัครใจให้พนักงานที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปลาออกขององค์กรหนึ่งในภาพใหญ่ๆ การเปิดสมัครใจออกนั้นเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรของเขาเองที่ต้องการที่จะนำเอาแรงงานใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งใช้ค่าจ้างแรงงานที่ต่ำลง คือการให้แรงงานใหม่ๆ เข้ามาทดแทนแรงงานเดิม
อย่างไรก็ตามในมุมของแรงงานผู้ที่จะเข้าโครงการนั้นก็ต้องดูว่าเมื่อสมัครใจลาออกแล้วจะไปทำอะไรต่อ เพราะเงินที่ได้รับจากการสมัครใจออกนั้น ไม่สามารถทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ถึง 70 – 80 ปี ตามอายุเฉลี่ย ดังนั้นต้องดูว่าจะไปทำอะไรต่อ ซึ่งก็ขึ้นกับความพร้อม และความสมัครใจ เช่น จะไปเป็นผู้ประกอบการเอง
“ในโลกปัจจุบันนี้ค่าครองชีพหรืออะไรก็ตาม คงไม่สามารถอยู่ได้โดยการไม่ทำงาน และรัฐบาลเองก็ไม่สามารถมีสวัสดิการที่เพียงพอที่จะดูแลได้ แรงงานที่ออกไปจะมีปัญหาถ้าไม่ได้เตรียมพร้อม ในการหาอาชีพอื่นทำ ก็จะมีปัญหากับสังคมในระยะต่อไป ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะออกหรือไม่ออกนั้น แต่ละบุคคลต้องพิจารณาตัวเองให้ดี ว่าออกไปแล้วจะทำอะไรเลี้ยงชีพต่อไป” นายดนุชา กล่าว
ส่วนการจ้างงานที่เป็นสัญญาจ้าง และพาร์ทไทม์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มาจากแนวโน้มความไม่แน่นอนเศรษฐกิจที่มีมากขึ้นทำให้ธุรกิจเองหาแนวทางลดต้นทุน
การทำงานที่เป็นลักษณะที่เป็นหลายงาน หลาย Job เป็นเศรษฐกิจที่เน้นการจ้างงานแบบชั่วคราว หรืองานที่ทำเป็นครั้งๆ (Gig Economy) นั้นมีมากขึ้น บริษัท และองค์กรต่างๆ มีการจ้างงานในลักษณะนี้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งมาจากการที่การทำงานมีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ก็สามารถเอื้อให้เกิดการจ้างงานที่เป็นพาร์ทไทม์ หรือชั่วคราวมากขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







