ไทยเดินหน้าสำรวจปิโตรเลียมรอบใหม่ ‘ทะเลอันดามัน’ ขุมทรัพย์พลังงานแสนล้าน

ไทยเดินหน้าสำรวจปิโตรเลียมรอบใหม่ ‘ทะเลอันดามัน’ ขุมทรัพย์พลังงานแสนล้าน

"ประเทศไทย" เดินหน้าสำรวจแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ทาง "ทะเลอันดามัน" คาดพบขุมทรัพย์ "พลังงาน" กว่าแสนล้านบาท

KEY

POINTS

  • กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเตรียมเปิดประมูลสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 26 ในทะเลอันดามัน ซึ่งมีความคาดหวังสูงว่าจะค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงแหล่ง "มูดาปา" ของมาเลเซีย 
  • การค้นพบแหล่งก๊าซในอันดามันคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับแสนล้านบาท ช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ลดการนำเข้า LNG และสร้างประโยชน์ด้านรายได้ การจ้างงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • โครงการนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทน้ำมันระดับโลกหลายแห่ง โดยกรมฯ กำลังพิจารณาปรับปรุงระบบสัมปทานเป็นแบบผสมผสาน (Hybrid) เพื่อสร้างแรงจูงใจ และรองรับการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูง

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดทั่วโลก ประเทศไทยยังคงเผชิญความท้าทายในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ก๊าซธรรมชาติในฐานะเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดที่สุดจึงยังคงเป็นตัวเลือกที่สำคัญในการผลิตไฟฟ้า และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน กำลังเดินหน้าภารกิจครั้งสำคัญเพื่อพลิกโฉมกิจการสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมในประเทศให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมกับเปิดประตูต้อนรับนักลงทุนระดับโลกให้กลับคืนสู่ดินแดนแห่งโอกาส

วรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงจำเป็นต้องใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติควบคู่ไปกับพลังงานสะอาด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลังมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero แม้ว่ากระแสโลกจะเน้นพลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ และลม แต่แหล่งพลังงานเหล่านี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มั่นคง และปริมาณการใช้พลังงานที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายปีที่ความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้น

ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อาจไม่เพียงพอเสมอไป ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติยังคงเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดที่สุด และเป็นตัวเลือกที่สำคัญในปัจจุบัน ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา และเพิ่มศักยภาพในการจัดหาก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการ อาทิ

1. แก้ไขกฎหมายปิโตรเลียม โดยต้องปรับปรุงสัญญาปิโตรเลียมที่เก่าแก่ และเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการถึง 7 ครั้ง ซึ่งการแก้ไขกฎหมายนี้จะช่วยให้แหล่งปิโตรเลียมเดิมสามารถเดินหน้าต่อไปได้

2. เดินหน้าโครงการ CCS (Carbon Capture and Storage) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย Net Zero กรมฯ ได้ร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม เพื่อศึกษา และสำรวจพื้นที่กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอ่าวไทยตอนบน โดยปัจจุบันได้ดำเนินการพื้นที่นำร่องในโครงการอาทิตย์ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ., สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นผ่าน JOGMEC เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านนี้

ไทยเดินหน้าสำรวจปิโตรเลียมรอบใหม่ ‘ทะเลอันดามัน’ ขุมทรัพย์พลังงานแสนล้าน

  3. เปิดประมูลสำรวจ และผลิตปิโตรเลียม ที่มีการเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบที่ 25 สำหรับพื้นที่บนบก จำนวน 9 แปลง โดยมีบริษัทให้ความสนใจ 5 ราย และคาดหวังว่าจะค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานให้กับภูมิภาค

 

 

 

 

4. การสำรวจในพื้นที่อ่อนไหว เช่น ส.ป.ก. (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) หรือเขตป่าสงวนจำเป็นต้องมีการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในภาพรวม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น

วรากร กล่าวว่า ส่วนตัวมีความคาดหวังสูงต่อการสำรวจปิโตรเลียมในทะเลอันดามัน จะถือเป็นการเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบที่ 26

เนื่องจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าอาจมีศักยภาพในการค้นพบแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกับแหล่งมูดาปา (Mubadala) ของประเทศมาเลเซีย มีปริมาณก๊าซธรรมชาติระดับ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุุต 

ดังนั้น จึงคาดหวังว่าแหล่งอันดามันพบทรัพยากรได้ครึ่งหนึ่งของเขาก็ใช้ได้เป็น 20 ปีแล้ว ดังนั้น สิ่งสำคัญจะต้องสร้างจูงใจนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันได้รับความสนใจจากบริษัทน้ำมันระดับโลก (Seven Sisters) อาทิ เชฟรอน, ENI, ปตท.สผ., โททาล และเอ็กซอน เป็นต้น

“กรมฯ กำลังพิจารณาปรับปรุงระบบสัมปทานให้เป็นแบบผสมผสาน (Hybrid) โดยอาจใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (CSP - Production Sharing Contract) ร่วมด้วย เพื่อให้มีความยืดหยุ่น และคุ้มค่าต่อการลงทุนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจาะสำรวจในทะเลน้ำลึกที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 27 ล้านดอลลาร์ต่อหลุม”

สำหรับประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ เมื่อค้นพบแหล่งก๊าซในทะเลอันดามัน จะสร้างประโยชน์มหาศาลต่อประเทศ ทั้งในด้านรายได้ ความมั่นคงทางพลังงาน การจ้างงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่าเรือ และโรงงานแปรรูปก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) คาดจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับแสนล้านบาท

“ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า ส่วนตัวเชื่อว่าการนำเข้าจากแห่งไหนก็ตามจะมีต้นทุนที่สูงกว่าการจัดหาเชื้อเพลิงในประเทศ เพราะด้วยราคานำเข้าไม่เสถียร และยังคงมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงาน จะเห็นว่าช่วงสงครามตะวันออกกลาง ราคา LNG พุ่งสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว ทำให้ราคาพลังงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะค่าไฟ ทำให้รัฐบาลจะต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อพยุงราคาพลังงาน

วรากร กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเห็นกรมฯ เดินไปข้างหน้าเพื่อได้เห็นกิจการปิโตรเลียมของไทยกลับมามีสีสันอีกครั้ง และเชื่อมั่นว่ากฎหมายใหม่ที่กำลังจะออกมาในปีหน้าจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมาสร้างความเชื่อมั่น และพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์