พรุ่งนี้ ! ลงทะเบียน ‘ทางรัฐ’ รับสิทธิ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’

ส่องเงื่อนไขลงทะเบียนรับสิทธิ “รถไฟฟ้า 20 บาท” เปิดลงทะเบียนวันแรก 25 ส.ค.นี้ “คมนาคม” มั่นใจดันปริมาณผู้โดยสารเข้าระบบเพิ่ม 20%
มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายในราคาไม่เกิน “20 บาทตลอดสาย” จัดอยู่ในนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้คำมั่นไว้กับประชาชนว่าจะเร่งดำเนินการ โดยกระทรวงคมนาคมประกาศความพร้อม พรุ่งนี้ ! (25 ส.ค.) เวลา 00.01 น. เป็นต้นไป จะเปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนใช้สิทธิ ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ไม่มีจำกัดสิทธิจำนวนผู้ลงทะเบียน และไม่มีวันปิดลงทะเบียน ซึ่งประชาชนสามารถทยอยลงทะเบียนรับสิทธิได้
กระทรวงคมนาคมประกาศเงื่อนไขผู้ที่จะได้รับสิทธิค่าโดยสาร “รถไฟฟ้า 20 บาท” จะต้องดำเนินการตามข้อกำหนดดังนี้
1.ใช้สิทธิได้เฉพาะผู้โดยสารที่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
2.เดินทางด้วยบัตรโดยสาร 2 ประเภท คือ
บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต ที่มีสัญลักษณ์ EMV Contactless มีแถบแสกนสำหรับแตะเพื่อชำระเงิน
บัตร Rabbit Card แบบ ABT ซึ่งหมายถึงบัตร Rabbit ที่ผูกกับบัญชีธนาคารและมีการตัดเงินจากบัญชีอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเติมเงิน
3.ประชาชนต้องลงทะเบียนบัตรโดยสารผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”
4.กรณีเดินทางข้ามโครงข่ายรถไฟฟ้า ผู้โดยสารต้องเดินทางเข้า – ออกบริเวณจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าที่กำหนดไว้เท่านั้น
5.การลงทะเบียน 1 คน สามารถลงทะเบียนบัตร EMV ได้ 1 ใบ และบัตร Rabbit Card ได้ 1 ใบเท่านั้น
6. เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี เนื่องจากเข้าเงื่อนไข PDPA สามารถลงทะเบียนได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารประจำสถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี
7. กรณีเปลี่ยนสายการเดินทางนอกสถานี จำกัดเวลา 30 นาที หากอยู่ในสายเดิมจะจำกัดเวลา 180 นาที เกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดจะคิดค่าแรกเข้าใหม่ทันที
ทั้งนี้ หากผู้โดยสารดำเนินการไม่ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จะต้องชำระค่าโดยสารในราคาปกติ
สำหรับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ครอบคลุมการเดินทางในโครงข่ายรถไฟฟ้า 13 เส้นทาง รวมระยะทาง 286.84 กิโลเมตร ประกอบด้วย
สายสีแดงเข้ม ช่วงกรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต ระยะทาง 26.30 กิโลเมตร
สายสีแดงอ่อน ช่วงกรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน ระยะทาง 15.26 กิโลเมตร
แอร์ พอร์ต เรล ลิงก์ ช่วงพญาไท - สุวรรณภูมิ ระยะทาง 28.70 กิโลเมตร
สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง ระยะทาง 20 กิโลเมตร
สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค (หลักสอง) ระยะทาง 14 กิโลเมตร
สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ระยะทาง 13 กิโลเมตร
สายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - เตาปูน ระยะทาง 23 กิโลเมตร
สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ระยะทาง 30.40 กิโลเมตร
สายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ระยะทาง 34.50 กิโลเมตร
สายสีเขียว (สุขุมวิท) ช่วงหมอชิต – สมุทรปราการ ระยะทาง 37.10 กิโลเมตร
สายสีเขียว (สุขุมวิท) ช่วงหมอชิต - สะพานใหมา - คูคต ระยะทาง 18.70 กิโลเมตร
สายสีเขียว (สีลม) ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ - บางหว้า ระยะทาง 14 กิโลเมตร
สายสีทอง ช่วงกรุงธนบุรี – คลองสาน ระยะทาง 1.88 กิโลเมตร
โดยกระทรวงคมนาคม ประมาณการว่านโยบายดังกล่าวจะสร้างผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวในช่วง 1 ปี ในเชิงปริมาณและมูลค่าจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่ได้รับผลประโยชน์ จะประกอบด้วย 3 ด้าน เป็นประโยชน์ในงบประมาณ 2569 รวม 10,049.73 ล้านบาท ได้แก่
1. ด้านเศรษฐกิจ ประเมินจากการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถ 7,360.43 ล้านบาท
2. ด้านสังคม ประเมินจากค่าความสุข และ การลดมูลค่าความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุ 2,612.02 ล้านบาท
3. ด้านสิ่งแวดล้อม ประเมินจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 77.28 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่านโยบายนี้จะลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และแก้ปัญหาการจราจรติดขัดบนท้องถนน ซึ่งประชาชนในกรุงเทพฯ จะหันมาใช้รถสาธารณะมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันนี้มีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายต่อวันรวม 1.7 ล้านคนต่อเที่ยว หากเริ่มใช้นโยบายนี้คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มมากกว่า 20%
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจรับสิทธิในโครงการดังกล่าว สามารถอ่านขั้นตอนการลงทะเบียนได้ที่ https://dg.th/20baht หากมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร 1111 หรือ Line official account : @gcc1111







