ปิดตาย! เจรจาปิโตรเลียม พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 'ไทย-กัมพูชา'

รัฐบาลปิดตาย การเจรจาแหล่งปิโตรเลียม พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่าง "ไทย-กัมพูชา" ขุมทรัพย์กว่า 10 ล้านล้านบาท
พื้นที่ไหล่ทวีปไทย-กัมพูชา ที่ทับซ้อน 26,000 ตารางกิโลเมตร เป็นปัญหาที่ขัดแย้งมากว่า 46 ปี หลังจากที่ไทยตั้งคณะกรรมการเจรจาสิทธิและขอบไหล่ทวีปเมื่อปี 2512 และกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปเมื่อปี 2515 โดยที่ผ่านมาหลายรัฐบาลมีความพยายามที่จะเจรจาเพื่อหาข้อสรุปและนำไปสู่พื้นที่ร่วมพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area : JDA)
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเจรจากับกัมพูชาอีกครั้งแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ในขณะที่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาถึงการเจรจาเพื่อหาผลประโยชน์ทางทะเลร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน
พร้อมชี้แจงถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศในการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน พื้นที่ทับซ้อนทางพลังงาน ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2567
ต่อมาน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่จะขับเคลื่อนนโยบายเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งมีการหารือกันระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศลาว เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2567
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การสำรวจร่วมกันเป็นหนึ่งใน 10 เป้าหมายเร่งด่วนสูงสุดของรัฐบาล เพราะไทยต้องการเพิ่มปริมาณพลังงานสำรองที่กำลังลดลง รวมถึงควบคุมเรื่องค่าไฟ และการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้น
แหล่งข่าวจาก กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สำหรับการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับประเทศกัมพูชานั้น ประเด็นนี้ยังคงต้องรอการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นพื้นที่พัฒนาร่วมกัน (JDA) ที่ยังไม่คืบหน้า และเสนอแนะให้ใช้คนกลางอย่างศาลทะเลโลกหรือศาลโลกเข้ามาช่วยในการเจรจา เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย
"ตอนนี้รัฐบาลยังไม่มีการตั้งหัวหน้าคณะทำงานเพื่อเจรจาชุดใหม่มาเลย ยังคงค้างอยู่ในชื่อเดิมที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ์ เป็นประธานในการเจรจาอยู่ และยิ่งตอนนี้ประเทศไทยมีข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชาด้วยแล้ว อาจจะทำให้การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลต้องยิ่งยากขึ้นไปใหญ่ ดังนั้น ในความเห็นส่วนตัวมองว่าควรให้พี่ใหญ่อย่างสหรัฐ เข้ามาเป้นผู้ร่วมเจรจาน่าจะทำให้มีความคืบหน้าหรือข้อสรุปได้ง่ายกว่าปล่อยให้เราต้องสูญเสียทรัพยากรใต้ทะเลระดับ 10 ล้านล้านบาทไปโดยไม่ได้นำกลับมาทำอะไรเลย"
รายงานข่าวระบุว่า ก่อนหน้านี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เสนอการดำเนินการเจรจาควบคู่กับการเจรจาเพื่อแบ่งเขตในพื้นที่ตอนบน (เหนือละติจูดที่ 11 องศาเหนือ) โดยไม่อาจแบ่งแยกได้ รวมทั้งสรุปข้อมูลใน 6 ประเด็น ดังนี้
1.สัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐบาลทั้งสอง
2.ระบบจัดเก็บรายได้ที่จะนำมาใช้ในพื้นที่พัฒนาร่วม
3.การจัดสรรสิทธิของผู้ได้รับสัญญาหรือผู้รับสัมปทานเดิมของแต่ละประเทศ รวมถึงการกำหนดผู้ดำเนินงาน
4. ระบบกรือโครงสร้างการบริหารจัดการในพื้นที่ประเด็นสำคัญ ได้แก่องค์กรก้ากับดูแลการจัดสรรงบประมาณออกกฎหมายภายในต่างๆ เพื่อรองรับการด้าเนินงานขององค์กรกำกับดูแล
5.ประเด็นด้านศุลกากร ภาษีอากรและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
6.ประเด็นอื่นๆ เช่น การประมง การวางท่อ อุทกศาสตร์ และสมุทรศาสตร์
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเคยมีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับมาเลเซียสรุปเป็น JDA ในปี 2522 ใช้เวลาเจรจา 11 ปี ส่วนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับเวียดนามใช้วิธีแบ่งเส้นเขตแดนเมื่อปี 2540 ใช้เวลาเจรจา 7-8 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเวียดนามให้น้ำหนักกับพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้มากกว่า
สำหรับพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชามีศักยภาพปิโตรเลียม โดยพื้นที่ฝั่งไทยที่ติดกับพื้นที่ทับซ้อนมีการพบปิโตรเลียมแล้ว เช่น แหล่งเอราวัณ แหล่งอาทิตย์ จึงมีแนวโน้มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งรัฐบาลไทยให้สัมปทานไปเมื่อปี 2511 และให้หยุดสำรวจตั้งแต่ปี 2518 ซึ่งเป็นไปตามมติ ครม.ปี 2518 ที่ให้ยุติสำรวจในพื้นที่ทับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ทำให้การให้สิทธิสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาหยุดลง
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า การหาข้อยุติปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่าง หรือ Overlapping Claims Area (OCA) ซึ่งอาจต้องปรับแนวทางการเจรจาและแนวทางการดำเนินทำงานใหม่ โดยเน้นการใช้ประโยชน์ทางด้านพลังงานที่ไม่เกี่ยวกับการแบ่งเขตแดน
นอกจากนี้ อาจเสนอรูปแบบการตั้งองค์กรหรือบริษัทร่วมที่ไทยและกัมพูชามีหุ้นส่วน และได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล 2 ประเทศ เพราะการนำข้อเจรจาแบ่งเขตแดนไปผูกกับการใช้ประโยชน์พลังงานจะไม่มีทางสำเร็จ เนื่องจากอ้างอิงกฎหมายที่เกิดขึ้นต่างวาระและเวลา
“หากไทยกับกัมพูชาร่วมกันตั้งบริษัทหรือองค์กรใดขึ้นมาถือหุ้นร่วมกันแล้วไปคุยกับรัฐบาล เมื่อรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบองค์กรที่ตั้งขึ้นมาย่อมเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่ต้องเกี่ยวกับเขตแดน” นายพีระพันธุ์ กล่าว
รวมทั้งที่ผ่านมากรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทำงานร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมข้อมูลให้รัฐบาลดำเนินการในเชิงนโยบาย โดยกำหนดวัตถุประสงค์การเจรจา 3 ประเด็น ได้แก่
1.การแก้ปัญหาพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนที่มีขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร
2.การดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนปี 2544 (MOU 2544) ซึ่งประกอบด้วยการเจรจาทำข้อตกลงแบ่งเขตทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ และการเจรจาจัดทำข้อตกลงการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกันใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ
3.การเจรจาใช้กลไกภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (JTC) ตามที่ตกลงกับฝ่ายกัมพูชาไว้แล้ว







