โค้งสุดท้ายเจรจา FTA ไทย-อียู ลุ้นปิดดีลการค้าปลายปี 68

โค้งสุดท้ายเจรจา FTA ไทย-อียู ลุ้นปิดดีลการค้าปลายปี 68

“ฉันทวิชญ์” ย้ำเร่งเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู เร็ว แต่ต้องมีคุณภาพ ครอบคลุมประเด็นการค้าใหม่ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ด้านเอกชนหนุนสุดตัว โอกาสการค้าการลงทุนในตลาดใหม่

KEY

POINTS

  • “ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์” ย้ำ เร่งเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด  โดยยึดหลัก “ความเร็วที่มาพร้อมคุณภาพ” เพื่อให้ข้อตกลงครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • การเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย โดยตั้งเป้าหมายสรุปผลให้ได้ภายในปลายปี 2568 แต่อาจล่าช้ากว่ากำหนดเนื่องจากมีประเด็นที่ซับซ้อนและอ่อนไหว
  • ปัจจุบันการเจรจาคืบหน้าไปแล้ว 7 จาก 24 ข้อบท และมีกำหนดการเจรจาอีก 2 รอบภายในปีนี้
  • ประเด็นที่ยังเป็นความท้าทายสำคัญคือ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา การนำเข้าสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก
  • ข้อตกลงดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากจะช่วยเปิดโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง

“การเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู” ( FTA ไทย–EU )เดินหน้าไปแล้ว 1 ใน  3  ซึ่งไม่ได้มีความล่าช้า  เมื่อเทียบกับเอฟทีเอฉบับอื่นๆเพราะเอฟทีเอฉบับนี้มีมาตรฐานสูง ขณะนี้การเจรราเข้าสู่โค้งสุดท้ายที่มีรายละเอียดมีความซับซ้อน มีประเด็นที่อ่อนไหว มีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ยืนยันว่าจะเร่งเจรจาปิดดีลให้ได้เร็วที่สุด ไม่อยากวางเป้าว่าจะปิดให้ได้ในปลายปีนี้ แต่จะเดินหน้าเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด  โดยยึดหลัก “ความเร็วที่มาพร้อมคุณภาพ” เพื่อให้ข้อตกลงครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนไทยทุกกลุ่มอย่างแท้จริง “ ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุ

นี่เป็นคำยืนยันของ “ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรปหรืออียู หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป ภายใต้งาน “Voice x Vision: Thai-EU FTA in Focus” (Stakeholder Consultation Workshop: Thai-EU FTA) ที่จัดขึ้นในวันที่ 21ส.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้การเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)ไทยกับสหภาพยุโรป (EU) ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลของรัฐบาล เนื่องจาก EU เป็นตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีมาตรฐานสูง ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสการค้าและการลงทุนให้กับไทยอย่างมหาศาลท่ามกลางความเสี่ยงทั้งสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งในแต่ละภูมิภาค และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงนโยบายภาษีสหรัฐฯ

โค้งสุดท้ายเจรจา FTA ไทย-อียู ลุ้นปิดดีลการค้าปลายปี 68

การเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู เริ่มขึ้นเมื่อปี 2566 ผ่านมา 2  ปี มีการเจรจาแล้ว 6 รอบ สรุปความตกลงได้แล้ว 7 บท จากทั้งหมด 24 บทยังเหลืออีก 17 ข้อบท

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเปิดตลาด การลงทุน ซึ่งจะต้องเจรจาอย่างรอบคอบเพราะมีผู้ส่วนได้ส่วนเสียมาก อีกทั้งยังประเด็นอ่อนไหวโดยเฉพาะการเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยที่ผ่านมามีการกำหนดเป้าหมายการปิดดีลให้ได้ปลายปี 68  แต่ทว่า ไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้อาจเป็นไปได้ยาก

เนื่องจากยังมีหลายข้อบทที่ยังไม่มีบทสรุปซึ่งเป็นข้อบทที่มีประเด็นที่มีความท้าทาย ซับซ้อน และอ่อนไหว กระทบกับหลายภาค อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา การนำเข้าสินค้าปศุสัตว์และสินค้าเกษตร ยา พันธุ์พืช  พลังงานและวัตถุดิบ รวมถึงกติกาใหม่ ๆ เช่น ดิจิทัลเทรดและอีคอมเมิร์ซ

“ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์” กล่าวว่า    FTA ไทย-EU ถือเป็นข้อตกลงที่มีมาตรฐานสูง ครอบคลุมประเด็นใหม่ๆ เช่น การแข่งขันและการอุดหนุน รัฐวิสาหกิจ การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ 

หากบรรลุผลสำเร็จ จะเป็นโอกาสสำคัญต่อการค้าและการลงทุนของไทย สร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงตลาดสหภาพยุโรปที่มีขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง พร้อมดึงดูดการลงทุนจากธุรกิจยุโรปในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังช่วยยกระดับมาตรฐานการค้าไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและแรงงานของสากล

โค้งสุดท้ายเจรจา FTA ไทย-อียู ลุ้นปิดดีลการค้าปลายปี 68

อย่างไรก็ตามไทยต้องคำนึงถึงบริบทของประเทศและความมั่นคงด้านสาธารณสุขและอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และต้องเจรจาอย่างรอบคอบไม่ให้กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน อีกทั้งสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นแรงกดดันที่ทำให้ทั้งไทยและสหภาพยุโรปเร่งการเจรจาปิดดีลให้ได้เร็วขึ้นเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการค้าของทั้งสองฝ่ายด้วย

โค้งสุดท้ายเจรจา FTA ไทย-อียู ลุ้นปิดดีลการค้าปลายปี 68

สำหรับความสำคัญของตลาดอียู นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ตลาด EU มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีสมาชิกถึง 27 ประเทศ  และเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 4 ของไทย ซึ่งหากการเจรจาเป็นไปตามเป้าหมายและคาดว่าเมื่อ FTA มีผลบังคับใช้ จะทำให้ไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศทั้งจาก EU และประเทศอื่น ๆตามม

“การเจรจามีความคืบหน้าไปในทิศทางบวก และ ตามแผนยังเหลือการเจรจาอีก 2 รอบ ในช่วงปลายเดือนก.ย. จะเป็นเจรจาในรอบที่ 7 และรอบที่ 8 ปลายเดือนพ.ย. แต่ยอมรับว่า หนทางยังอีกพอสมควร เส้นทางยังขุรขระ ซึ่งยังเหลือประเด็นที่ท้าทายอีกจำนวนมาก  ซึ่งอย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่าย ต่างมุ่งมั่นเพื่อให้การเจรจาสรุปผลได้โดยเร็ว”นางสาวโชติมา กล่าว

ขณะที่ภาคเอกชนหนุนให้รัฐบาลเดินหน้าเจรจาเต็มที่ เพื่อสร้างแต้มต่อการค้าให้กับไทย โดยนางยุพิน บุญศิริจันทร์ กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การทำเอฟทีมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนั้นทุกธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อยกระดับขีดความสามารถซึ่งไม่ใช่เฉพาะเพียงเอสเอ็มอีแต่รวมถึงอุตสาหกรรมใหญ่ด้วย ซึ่งเอฟทีเอไทย-อียู จะเป็นโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมศักยภาพของไทย เช่น อาหาร ยานยนต์ อัญมณี เครื่องสำอาง อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆ ซึ่งจะทำไทยเติบโตสู่ตลาดใหม่ และส่งออกได้มากขึ้น

นายชนินทร์ ชลิศราพงษ์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า ทางเลือกเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้คือ การเปิดเสรีทางการค้า ซึ่งเอฟทีเอไทย-อียู จะเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้ไทยเปิดเสรีทางการค้าได้มากขึ้น ดังนั้นอย่าไปกลัวการเปิดเสรีทางการค้า อุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบรัฐก็ต้องเข้ามา

ในส่วนข้อกังวลต่างๆนั้น  "รมช.ฉันทวิชญ์ " กล่าวย้ำว่า กระทรวงพาณิชย์จะนำข้อคิดเห็นและข้อห่วงใยทั้งหมดไปใช้ประกอบการกำหนดท่าทีการเจรจา รวมทั้งบริบทของประเทศและความมั่นคงด้านสาธารณสุขและอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และต้องเจรจาอย่างรอบคอบไม่ให้กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

คงต้องจับตาการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปิดดีลเจรจา ซึ่งเหลือเพียง 2 รอบเท่านั้น โดยประเด็นการเจรจาถือเป็นที่สำคัญของข้อบทที่เหลืออยู่รวมทั้งการเปิดตลาดและการลงทุน ซึ่งไทม์ไลน์จะปิดได้หรือไม่ได้ในปลายปีนี้คงไม่ใช่เรื่องหลักหากปิดได้เร็วก็ดี 

แต่เรื่องหลักคือการเจรจาในประเด็นสำคัญที่เหลือจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้มากน้อยแค่ไหนท่ามกลางบริบทของการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่สูง