5 ปี ดนุชา บนเก้าอี้ เลขาฯสภาพัฒน์ นักแก้วิกฤติ – วางยุทธศาสตร์ – พาไทยร่วม OECD

"เลขาธิการสภาพัฒน์" ถือเป็นตำแหน่งสำคัญในด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทำหน้าที่เสมือน Think Tank ของรัฐบาล การโยกย้ายนายดนุชา พิชยนันท์ จากเลขาธิการสภาพัฒน์ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สทนช. จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตา หลังจากที่เขาได้ฝากผลงานสำคัญไว้ตลอด 5 ปีในตำแหน่งนี้
ตำแหน่ง “เลขาธิการสภาพัฒน์” ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญในการบริหารงานเศรษฐกิจ และสังคมของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย เพราะ “สภาพัฒน์” เป็น Tink Tank ของรัฐบาลที่ไม่ใช่เป็นเพียงหน่วยงานที่จัดทำประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ และติดตามภาวะสังคมของประเทศเท่านั้น แต่สภาพัฒน์นั้นมีบทบาทที่ช่วยสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลหลายด้าน และผู้ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิกาสภาพัฒน์นั้นมีหน้าที่สำคัญโดยตำแหน่ง ตั้งแต่การจัดทำกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีร่วมกับอีก 3 หน่วยงานเศรษฐกิจ การเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการเป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการระดับชาติที่สำคัญอีกหลายคณะ
ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา มีมติการโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) ตามที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองนายกฯที่กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอรับโอน นายดนุชา พิชยนันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
มติ ครม.ดังกล่าวถือเป็นการโอนย้ายนายดนุชาจากตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒน์ ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสทนช.ซึ่งก่อนหน้านี้ ครม.ได้เคยมีมติต่ออายุการดำรงตำแหน่งเลขาฯสภาพัฒน์ของนายดนุชามาแล้ว 1 ปี ทำให้นายดนุชาอยู่ในตำแหน่งเลขาฯสภาพัฒน์ รวม5 ปีตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2563 เป็นต้นมา
"ดนุชา" ปัจจุบันอายุ 55 ปี เป็นเลขาฯสภาพัฒน์ลำดับที่ 16 ต่อจากนาย ทศพร ศิริสัมพันธ์ ในช่วงการดำรงตำแหน่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีผลงานสำคัญหลายเรื่อง นอกจากการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยมีการกำหนดหมุดหมายการพัฒนาประเทศที่สำคัญไว้ 13 ด้าน และกำลังอยู่ในการรวบรวมข้อมูล และจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 (2571-2575)
ติดตาม ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเป็นโรดแมปการพัฒนาประเทศที่สำคัญ นายดนุชาในฐานะกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้มีส่วนร่วมสำคัญในการยกร่างแผน การติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งการจัดทำแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ชาติร่วมกับหน่วยงานราชการต่างๆอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงการดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒน์ของนายดนุชา บริบทด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเผชิญวิกฤติสำคัญ 2 เรื่องคือวิกฤติโควิด-19 และวิกฤติหนี้ครัวเรือน ซึ่งเขาได้เข้าไปมีบทบาทในการช่วยแก้ไข โดยในช่วงการเศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบจากโควิด-19 ประเทศไทยมีการออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ฉบับ รวมวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
บทบาทช่วยแก้วิกฤติโควิด
สภาพัฒน์ได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการ และฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับ โดยนอกจากการจัดหาวัคซีน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับประชาชนใช้ป้องกันโควิด-19 ที่เป็นมาตรการด้านสาธารณสุข ที่ส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจด้วย เช่น การวางแผนกระจายวัคซีนไปในภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การผลิตยังเดินต่อได้ รวมทั้งการกระจายวัคซีนให้กับชาวต่างประเทศที่มาลงทุนในไทย รวมทั้งกลุ่มของผู้ทำงานที่เป็น Expat ขององค์กรระหว่างประเทศที่นอกเหนือจากสถานทูต
นอกจากนั้นดนุชายังได้มีบทบาทในการวางแผนการเปิดเมืองอย่างเป็นขั้นตอน โดยทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อกำหนดแผนการทำงานที่ถูกต้อง
ซึ่งมาตรการทั้งหมดในช่วงนั้นช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย ขณะที่เมื่อเริ่มคุมการระบาดของโรคได้
วางแนวทางฟื้นเศรษฐกิจจากโควิด-19
ส่วนมาตรการด้านเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายนายดนุชาได้ทำงานร่วมกับรัฐบาลในขณะนั้นในการออกแบบ และวางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลายมาตรการ เช่น โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น
ขณะที่ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ถือเป็นอีกวิกฤติของไทยที่มีอัตราหนี้สินภาคครัวเรือนสูงติดอันดับต้นๆของโลก นายดนุชาได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารพาณิชย์ ในการออกแบบโครงการคุณสู้เราช่วย เพื่อช่วยให้ประชาชนที่ติดเครดิตบูโร สามารถกลับมาจ่ายหนี้ และลดระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยขณะนี้โครงการคุณสู้เราช่วยอยู่ระหว่างการดำเนินการในระยะที่2
แนะไม่ก่อหนี้เกินตัว-รักษาวินัยการคลัง
ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายครั้ง นายดนุชาจะให้ความสำคัญกับการสร้างวินัยทางการเงินส่วนบุคคลและเตือนไม่ให้ประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ไม่ให้ใช้จ่ายเกินตัวจนมีปัญหาหนี้สิน ขณะที่ปัญหาหนี้สาธารณะนายดนุชาจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่การคลัง (fiscal space) เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติการคลังในอนาคต
บทบาทผลักดันไทยเข้า OECD
นอกจากบทบาทหน้าที่ในการสนับสนุนนโยบาย และการทำงานของรัฐบาลในประเทศแล้ว ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ในฐานะเลขาฯสภาพัฒน์ นายดนุชาได้ให้ความสำคัญกับการผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD)
โดยเขาระบุว่ามาตรฐาน และกฎระเบียบของ OECD ถือว่าเป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ หากไทยสามารถเข้าเป็นสมาชิก OECD ได้จะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้น การลงทุนและทำธุรกิจของต่างชาติที่จะมาดำเนินการในไทยก็จะมีมาตรฐาน และหลักปฏิบัติที่ชัดเจนสอดคล้องกับสากล
ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ภายใต้การนำของนายดนุชาได้ทำงานร่วมกับ OECD อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานายมาทีอัส คอร์มันน์ เลขาธิการ OECD ได้เดินทางเยือนประเทศไทยถึง 2 ครั้ง ขณะที่เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมานายดนุชา พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สศช. ได้เข้าร่วมการหารือกับเอกอัครราชทูตโคลอมเบียประจำ OECD และอุปทูตโรมาเนีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิก OECD พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการประยุกต์ใช้เทคนิคการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Foresight) เพื่อประกอบการยกร่างกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571-2575) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส
ขณะที่ขั้นตอนการเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD ของไทยนั้นมีความคืบหน้าตามลำดับ โดยไทยได้มีการยื่นขอสมัครเมื่อเดือนเม.ย.2567 และได้รับเชิญให้เข้าสู่กระบวนการหารือเพื่อเข้าเป็นสมาชิกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.2567ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการทำแผนเข้าเป็นสมาชิก (Accession Roadmap) รวมทั้งได้เข้าร่วมโครงการ OECD Thailand Country Programme ระยะที่ 2 (CP ระยะที่ 2) เและอยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบ นโยบายต่างๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD ตามโรดแมปต่อไป
การสิ้นสุดบทบาทของนายดนุชาในฐานะเลขาธิการสภาพัฒน์ ไม่ได้หมายถึงการปิดฉากเส้นทางการทำงานด้านการวางแผน และการแก้ปัญหาให้ประเทศ แต่เป็นการก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในฐานะเลขาธิการ สทนช. ที่ยังคงมีภารกิจท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ
ขณะเดียวกัน ผลงานที่เขาได้ริเริ่มแล้ววางไว้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มาหลายสิ่งที่เลขาธิการสภาพัฒน์คนใหม่จะต้องเข้ามาสานต่อให้ไปสู่เป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม







