จับตาสินค้า “Plant-Based” สินค้าดาวรุ่งไทย ตอบโจทย์ตลาดโลก

"พาณิชย์" หนุนสินค้า Plant-based สู่ตลาดโลก ชี้ ตลาด เทรนด์อาหารยุคใหม่ เปลี่ยนจาก “จานเนื้อ” เป็น”จานพืช” เผย 3 ปัจจัย แรงขับเคลื่อนสำคัญดันสินค้า Plant-based โตต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- ตลาดอาหาร Plant-Based เป็นสินค้าดาวรุ่งที่มีแนวโน้มเติบโตสูงทั้งในไทยและตลาดโลก โดยคาดว่ามูลค่าตลาดในไทยจะสูงถึง 49,500 ล้านบาทในปี 2568
- ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากกระแสผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ มีจริยธรรมต่อสัตว์ และคำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
- ภาครัฐตั้งเป้าผลักดันให้ไทยเป็น “แหล่งวัตถุดิบอาหารเพื่อสุขภาพของโลก” ผ่านการส่งเสริมการผลิต ส่งออก และพัฒนานวัตกรรมอาหารจากพืช
- ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ถูกใจผู้บริโภค รวมถึงสร้างเอกลักษณ์เพื่อคว้าโอกาสในตลาด
"Plant-based หรือ สินค้าอาหารจากพืช" ซึ่งเป็นอาหารที่เน้นพืชเป็นหลัก ได้แก่ ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช และเมล็ดพืชต่างๆ โดยมีการลดหรือเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ หรือน้ำผึ้ง เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น โดย Plant-basedกำลังเป็นตลาดดาวรุ่งของอุตสาหกรรมอาหารยุคใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันยังมีมูลค่าไม่สูงนัก
จากผลการศึกษาโครงการจัดทำภาพอนาคตสินค้าเกษตรสำคัญของประเทศไทย กรณีศึกษา สินค้าอาหารจากพืช ในปี 2567 ไทยมีมูลค่าตลาดสินค้าอาหารจากพืช 45,000 ล้านบาท และคาดว่าปี 2568 จะขยายตัว 10% เป็น 49,500 ล้านบาท ตอบรับกระแสผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจในสุขภาพ มีจริยธรรมต่อสัตว์ และใส่ใจความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต
“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ “ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย เปิดเผยว่า ทิศทางการเติบโตของอาหาร Plant-based นี้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโลก โดย Future Market Insights (FMI) ผู้ให้บริการข้อมูลตลาด คาดการณ์ว่าตลาดอาหารจากพืชทั่วโลกจะมีมูลค่า 14,225.3 ล้านดอลลาร์ (459,904 ล้านบาท) ในปี 2568 และจะทะยานขึ้นไปถึง 44,181.9 ล้านดอลลาร์1,428,401 ล้านบาท) ในปี 2578 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่สูงถึง 12%
โดยสินค้าอาหารจากพืชสามารถแบ่งได้ 5 กลุ่ม ได้แก่ เนื้อทางเลือก นมทางเลือก ไข่ทางเลือก ขนม และ เครื่องดื่ม ซึ่งล้วนได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเชิงบวก ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม จริยธรรม และเทคโนโลยี ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและกลยุทธ์ของภาคธุรกิจอาหาร ตอกย้ำกระแสการบริโภคแห่งอนาคต ที่กำลังเปลี่ยนจาก “จานเนื้อ” สู่ “จานพืช” อย่างจริงจัง
นายพูนพงษ์ ยังระบุอีกว่า การขยายตัวของตลาด Plant-Based มีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.สุขภาพ (Health) โดยผู้บริโภคมีความตระหนักรู้และใส่ใจเรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เชื่อมโยงกับการบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์จากพืชเป็นทางเลือกที่มาแรง
2.จริยธรรม (Ethics) เนื่องจากความห่วงใยในสวัสดิภาพและไม่สนับสนุนการเบียดเบียนสัตว์
3.ความยั่งยืน (Sustainability) เนื่องจากการผลิตอาหารจากพืชใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการทำปศุสัตว์ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคที่สำคัญซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนตลาด ไม่ใช่กลุ่มมังสวิรัติ (Vegetarian) หรือวีแกน (Vegan) เพียงเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่ม Flexitarian ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่ต้องการ “ลด” การบริโภคเนื้อสัตว์ กำลังเป็นกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนตลาดให้ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก
รายงาน Foresight ของ สนค. เมื่อปี 2567 กำหนดภาพอนาคตสินค้า Plant-Based Food ของไทยออกเป็น 4 ฉากทัศน์ ฉากทัศน์หลัก (Probable Future) คือ การที่ประเทศไทยจะเป็น “แหล่งวัตถุดิบอาหารเพื่อสุขภาพของโลก” ผ่านการผลิต ส่งออก และต่อยอดนวัตกรรมอาหารจากพืช และมีอีก 3 ฉากทัศน์ทางเลือก (Alternative Futures) ได้แก่ การพัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมที่สอดแทรกอาหารสุขภาพ การเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพระดับโลก และการต่อยอดการแปรรูปสินค้าเกษตรไทยเป็น Plant-Based Food คุณภาพสูงสำหรับตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่นำทาง (Road Map)
การพัฒนา Plant-Based Food ของไทย ในปี พ.ศ. 2567 – 2576 เพื่อเป็นแนวทางเชิงนโยบาย 6 ด้าน ได้แก่ การผลิตและแปรรูป การตลาดและการท่องเที่ยว การวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ฐานข้อมูล การลงทุน และ การพัฒนากฎหมายให้ทันกับมาตรฐานสากล ซึ่ง Roadmap นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันธุรกิจ Plant-Based Food ของไทย ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
“ความท้าทายของอุตสาหกรรมอาหารจากพืชคือการเข้าใจ ‘เทรนด์ของผู้บริโภค’ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเร็วอยู่ตลอดเวลา หากผู้ประกอบการสามารถจับจุดเทรนด์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจ ก็จะสามารถคว้าโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดนี้ ซึ่งผู้ประกอบการที่สนใจเข้าสู่ตลาดนี้ ต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มี “รสชาติ” และ “เนื้อสัมผัส” ที่ถูกปากผู้บริโภค รวมทั้งการสร้างความแตกต่าง เช่น “เมนูอัตลักษณ์ไทย” ชูความโดดเด่นของรสชาติอาหารไทย ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุน และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง”นายพูนพงษ์ ระบุ







