พาณิชย์ เตรียมเชิญทูตเมียนมา หารือปัญหาปิดด่านแม่สอด-เมียวดี

กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมเชิญเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย หารือผ่อนปรนมาตรการปิดด่านแม่สอด-เมียวดี สกัดสินค้าลักลอบนำเข้า ทำรถขนส่งสินค้าจากไทย และประเทศอื่นติดหน้าด่านกว่า 400 คัน
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยถึงกรณีที่เมียนมาปิดด่านแม่สอด-เมียวดี บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ฝั่งเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.68 เป็นต้นมา เพื่อสกัดสินค้าลักลอบนำเข้า หรือสินค้าที่ไม่มีใบอนุญาตนำเข้า (Import License) ว่า กรมการค้าต่างประเทศ และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เชิญทูตพาณิชย์เมียนมาประจำประเทศไทย มาสอบถามข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 19 ส.ค.68 ตามข้อสั่งการของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์
ทั้งนี้ ฝ่ายเมียนมาได้ชี้แจงว่า ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค. ทางการเมียนมาเข้มงวดตรวจสอบการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย หรือนำเข้าโดยไม่มีใบอนุญาตนำเข้า เพราะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ และประสบปัญหาขาดดุลการค้ามากขึ้น จึงต้องเพิ่มความเข้มงวดเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้มีรถสินค้ารอผ่านแดนจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากประเทศอื่นๆ เพื่อรอเข้าเมียนมา
“ได้รับรายงานล่าสุดจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงย่างกุ้ง เมียนมาว่า มีรถขนส่งสินค้าติดอยู่ที่หน้าด่านประมาณ 400 คัน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มาจากประเทศอื่น เพื่อรอเข้าเมียนมาผ่านทาง จ.ตากของไทย รวมถึงสินค้าจากไทยด้วย แต่ได้รับแจ้งจากเมียนมาให้เปลี่ยนเส้นทางขนส่งไปทางท่าเรือระนอง เพื่อเข้าสู่เกาะสองแทน”
นางอารดา กล่าวว่า กรมจะนำข้อมูลจากการหารือกับทูตพาณิชย์เมียนมาเสนอต่อ รมว.พาณิชย์ เพื่อให้เชิญเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย มาหารือ และเจรจาให้เมียนมาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลจาก สคต.ย่างกุ้ง ระบุว่า การค้าชายแดนไทย-เมียนมา ถูกกดดันจากมาตรการการตรวจใบอนุญาตนำเข้าสินค้า ที่เข้มงวดมากขึ้นของฝ่ายเมียนมา มาโดยตลอด และได้เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นไปอีกตั้งแต่ช่วงกลางปี 67 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบอย่างมากในด่านศุลกากรแม่สอด ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 40% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมา และด่านศุลกากรระนอง ที่มีสัดส่วนเกือบ 20% มาโดยตลอด ส่วนด้านศุลกากรอื่นๆ ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเส้นทางขนส่ง และทำให้ธุรกิจส่งออกได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะจะไม่สามารถส่งออกได้หากไม่มีใบอนุญาตนำเข้า โดยสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ ธุรกิจรายย่อย และตลาดชายแดนในแม่สอด และพื้นที่ใกล้เคียง อาจซบเซา เพราะประชาชนทั้ง 2 ฝั่งกังวลต่อความไม่แน่นอน และหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามแดนเพื่อจับจ่ายใช้สอย ขณะที่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการเปลี่ยนเส้นทางขนส่งไปใช้ทางเรือแทน
สำหรับมูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ช่วง 6 เดือน (ม.ค.- มิ.ย.) ปีนี้ อยู่ที่ 105,149 ล้านบาท ลดลง 24.91% เทียบช่วงเดียวกันปี 67 โดยไทยส่งออก 63,572 ล้านบาท ลดลง 16.36% นำเข้า 41,578 ล้านบาท ลดลง 35.07% และไทยได้ดุลการค้า 21,994 ล้านบาท
เมื่อแยกเป็นรายด่านศุลกากร พบว่า ด่านศุลกากรแม่สอด จ.ตาก มีมูลค่าสูงสุด 45,378 ล้านบาท ลดลง 9.71% ตามด้วยด่านสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 32,406 ล้านบาท ลดลง 33.27%, ด่านศุลกากรระนอง จ.ระนอง 18,199 ล้านบาท ลดลง 12.23%, ด่านศุลกากรแม่สาย จ.เชียงราย 8,066 ล้านบาท ลดลง 47.13%, ด่านศุลกากรประจวบคีรีขันธ์ 300 ล้านบาท ลดลง 93.94% แต่ด่านศุลกากรแม่ฮ่องสอน 698 ล้านบาท เพิ่ม 266.35% และด่านศุลกากรแม่สะเรียง จ.เชียงใหม่ 104 ล้านบาท เพิ่ม 35%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







