‘สภาพัฒน์’ แนะเร่งเบิกงบประมาณ หลังเบิกจ่ายต่ำค่าเฉลี่ยรอบ 15 ปี

‘สภาพัฒน์’ แนะเร่งเบิกงบประมาณ หลังเบิกจ่ายต่ำค่าเฉลี่ยรอบ 15 ปี

“สภาพัฒน์”ชี้เบิกจ่ายงบลงทุนปี 68 ในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 39.8% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 48.7% แม้จะสูงกว่าปีก่อนที่ 33.0% พร้อมเสนอรัฐบาลเร่งรัดเบิกจ่ายงบฯ

KEY

POINTS

  • “สภาพัฒน์”ชี้เบิกจ่ายงบลงทุนปี 68 ในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 39.8% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 48.7%
  • แม้จะสูงกว่าปีก่อนที่ 33.0% แต่เนื่องจากปีก่อนงบประมาณออกล่าช้า 
  • พร้อมเสนอรัฐบาลเร่งรัดเบิกจ่ายงบฯ ทั้งงบประจำและงบลงทุนปี 2568 ให้ไม่ต่ำกว่า 65%
  • ส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจควรเดินหน้าเบิกจ่ายให้ได้ต่อเนื่องให้ได้ 80%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถือเป็นส่วนสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปีขยายตัวได้เพิ่มขึ้น โดย สศช.ได้ให้ข้อเสนอแนะกับรัฐบาลว่าควรมีการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณทั้งงบฯประจำและงบฯลงทุนประจำปี 2568 ให้ไม่ต่ำกว่า 65% ของกรอบงบลงทุนรวม รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับอนุมัติแล้ว ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมดำเนินการโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569

สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่ผ่านมาของปี 2568 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อพิจารณาจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง931,453.72 ล้านบาท พบว่ามีการเบิกจ่ายได้เพียง 370,336.45 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่าย 39.8% สูงกว่าปีงบประมาณ 2567 ที่ 33.0%  ซึ่งประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้า 7 เดือน แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการเบิกจ่ายย้อนหลัง 15 ปีที่ 48.7%

ภายใต้กรอบวงเงินรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ข้อมูล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 พบว่ามีการเบิกจ่ายและก่อหนี้ผูกพัน (PO) รวม 534,844.68 ล้านบาท (คิดเป็น 57.4% ของวงเงินหลังโอนเปลี่ยนแปลง)

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งรัดเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ (เดือนกรกฎาคม – กันยายน 2568) วงเงิน 374,826.53 ล้านบาท โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนที่ได้ก่อหนี้ผูกพันสัญญาไว้ รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการก่อหนี้ผูกพันในส่วนของงบประมาณที่เหลือ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของกรมบัญชีกลางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 80%

ทั้งนี้ ในส่วนของวงเงินที่ได้มีการก่อหนี้ผูกพันสัญญาไว้แล้วทั้งสิ้น 164,508.24 ล้านบาท คิดเป็น 17.7% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง โดยเป็นการก่อหนี้ผูกพันสัญญาในหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้าง 123,329.67 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 75.0% ขณะที่หมวดครุภัณฑ์ หมวดงบรายจ่ายอื่น และหมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ คิดเป็น 12.6%, 4.9% และ 4.0% ของวงเงินผูกพันสัญญา

โดยหากพิจารณาในมิติของหน่วยงาน พบว่า 3 กระทรวงที่มีการก่อหนี้ผูกพันสัญญารายจ่ายลงทุนสูงสุด ได้แก่กระทรวงคมนาคม  คิดเป็น 31.6% ของวงเงินผูกพันสัญญา กระทรวงมหาดไทย – 15.8% และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 11.3%

ทั้งนี้ การก่อหนี้ผูกพันสัญญาในหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คิดเป็น 40.4%, 17.9% และ 12.9% ของวงเงินผูกพันสัญญาหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้างรวม