มองความเหลื่อมล้ำผ่านการถือครองที่ดิน กลุ่ม Top1% ครองที่ดิน 16%

สศช. จับมือหน่วยงานด้านที่ดิน ทั้งกรมธนารักษ์ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน เปิดข้อมูลการถือครองที่ดินในไทยสะท้อนความเหลื่อมล้ำ
KEY
POINTS
- ผลการศึกษาของ สศช.และหน่วยงานด้านที่ดิน พบว่ากลุ่มคนเพียง 1% แรกของประเทศ ถือครองโฉนดที่ดินคิดเป็นสัดส่วนถึง 16.78% ของที่ดินทั้งหมด
- หากพิจารณาจากมูลค่าการถือครองที่ดิน กลุ่มคน 1% แรกมีสัดส่วนการถือครองสูงถึง 34.91% ของมูลค่าโฉนดที่ดินทั้งหมด
- โดยเฉลี่ยแล้วคนในกลุ่ม Top 1% ถือครองโฉนดที่ดินคนละ 81 ไร่ คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 35 ล้านบาทต่อคน
- สศช.แนะภาครัฐเพิ่มโอกาสการถือครองที่ดินของผู้มีรายได้น้อย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ในทางเศรษฐศาสตร์ “ที่ดิน” คือปัจจัยหนึ่งของ “ทุน” ที่แรงงานใช้เป็นปัจจัยการผลิต และมีผลต่อการสร้างชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของแรงงาน และครอบครัวเพราะหากไม่มีที่ดินทำกินแรงงานจะมีต้นทุนในการทำมาหากินเพิ่มขึ้น เช่น ต้องจ่ายค่าจ้างในการเช่าที่ดินสำหรับการทำการเกษตรทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น
อีกมิติหนึ่งการถือครองที่ดินใช้ในการวัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมได้ เมื่อเร็วๆนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดประชุมการระดมความคิดเห็นผลการศึกษาสถานการณ์และบทบาทภาครัฐในการถือครองที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อนำเสนอผลการศึกษา เรื่อง การศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย และรับฟังข้อคิดเห็น รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ตลอดจนภาคีเครือข่ายต่างๆ เช่น กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)
ทั้งนี้นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธานเปิดการประชุม โดยระบุถึงความสำคัญของสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การเกิดความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากร และเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอผลการศึกษาและข้อค้นพบจากการศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย โดยนายมนตรี ภูศรีโสม และนางสาวณัฐวรรณ ชูเฉลิม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม โดยมีขอบเขตการศึกษาเฉพาะการถือครองโฉนดที่ดิน น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ทั้งที่ถือโดยบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งครอบคลุมขนาดพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศไทย
การถือครองที่ดินไทยไม่เสมอภาค
โดยผลการศึกษา พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของการถือครองโฉนดที่ดินมีความเหลื่อมล้ำสูงสุด (Gini อยู่ที่ 0.7298) รองลงมาคือ น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก และหากเทียบกับความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ในปี 2566 อยู่ที่ 0.417 สูงกว่าเกือบสองเท่า ขณะที่หากพิจารณาจากขนาดของที่ดิน กลุ่มที่ถือครองมากที่ดินมากที่สุด (Decile 10) มีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินสูงกว่ากลุ่ม Decile ถือครองน้อยที่สุด (Decile1) อยู่ที่ 710 เท่า และหากพิจารณาจากมูลค่าการถือครองที่ดิน กลุ่ม Decile 10 สูงกว่า Decile 1 อยู่ที่ 348 เท่า
กลุ่ม Top1% ถือครองที่ดิน 16% ของประเทศ
ทั้งนี้ กลุ่ม Top 1% มีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากขนาดที่ดินสูงถึง16.78% ของโฉนดที่ดินทั้งหมดในประเทศไทย และมีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากมูลค่าสูงถึง 34.91%
หากวิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ ปริมณฑลและภาคตะวันออกมีความเหลื่อมล้ำการถือครองโฉนดที่ดินสูงสุด ส่วนเอกสารสิทธิประเภท น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ภาคตะวันตกและภาคกลางมีความเหลื่อมล้ำสูงสุดตามลำดับ
นิติบุคคลถือครองที่ดิน ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี
นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มนิติบุคคลมีการกระจุกตัวของการถือครองมากกว่าบุคคลธรรมดาทั้งด้านขนาดพื้นที่และมูลค่า โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี สำหรับข้อค้นพบสำคัญ พบว่า
1.การลงทุนข้ามถิ่น คนกรุงเทพฯ เข้าไปถือครองที่ดินในจังหวัดอื่น ๆ (ไม่รวม กรุงเทพฯ) สูงถึง 5% ของพื้นที่ประเทศไทย และจังหวัดที่คนนิยมไปลงทุนซื้อที่ดิน 3 จังหวัดแรก ได้แก่ ปทุมธานี นครนายก และสมุทรปราการ
กลุ่ม Top1% ประเทศถือครองที่ดินเฉลี่ย 81 ไร่ต่อคน
2.คนกลุ่ม Top 1% ถือครองที่ดินค่อนข้างสูง โดยมีที่ดินเฉพาะโฉนดที่ดินเฉลี่ย 81 ไร่ต่อคน และมูลค่าเฉลี่ย 35 ล้านบาทต่อคน
และ 3.รูปแบบการถือครองที่ดินของคนกลุ่ม Top 1% มักถือครองที่ดินในจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดที่ตนเองอาศัยอยู่เป็นหลัก และจะลดจำนวนลงเมื่อที่ดินอยู่ห่างจากจังหวัดที่ตนเองอาศัย ยกเว้นในพื้นที่เศรษฐกิจหรือเมืองใหญ่บางแห่งที่คน Top1% มักไปซื้อที่ดินเก็บไว้เพื่อสะสมทุน
นอกจากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นแนวทางการวิเคราะห์และการขยายผลการศึกษาในอนาคต เช่น การวิเคราะห์ลักษณะทางสังคมของผู้ถือครองที่ดิน ได้แก่ ความสามารถในการถือครอง (รายได้เฉลี่ย วิธีการได้มาของที่ดิน ฯลฯ) วัตถุประสงค์การถือครองเพื่อการอยู่อาศัยหรือการประกอบอาชีพ และช่วงอายุ (หรือ Generation) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการถือครองที่ดิน
การวิเคราะห์เชื่อมโยงกับ “แผนที่ภาษี” ซึ่งจะทำให้เห็นภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินรวมถึงอาคารและสิ่งปลูกสร้างในแต่ละพื้นที่ และการขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มที่ไม่มีที่ดิน ตลอดจนที่ดินประเภทอื่น ๆ ซึ่งอาจรวมถึงการเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ
แนะเพิ่มโอกาสการเข้าถึงที่ดินผู้มีรายได้น้อย
รวมทั้งให้มีการให้ข้อเสนอแนะในเรื่องการจัดทำนโยบายเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงที่ดินของประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยควรมุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรการภาครัฐให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทั้งในชนบทและในเขตเมือง เช่น การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของเอกชนที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองกับความต้องการของประชาชนผ่านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสม โดยภาครัฐสามารถใช้มาตรการทางภาษีเพื่อดึงดูดให้เอกชนจัดสรรพื้นที่ให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใช้ประโยชน์ และนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้
แนวคิดในการใช้ประโยชน์ที่ดินในแนวตั้ง โดยเฉพาะในเขตเมือง เช่น มาตรการจูงใจเจ้าของอาคารสูงให้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารเป็นศูนย์อาหารราคาประหยัดสำหรับผู้มีรายได้น้อยเพื่อแลกกับการลดหย่อนภาษี
การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐ ผ่านการกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายข้อจำกัดและอนุญาตให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในงานราชการได้ และ การสนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐแบบกลุ่ม สหกรณ์ หรือชุมชน







