‘การเมือง’ จุดเปราะบางเศรษฐกิจ ‘เอกชน’ ประสานเสียงขอเร่งจบเร็ว

“ส.อ.ท.” ห่วงการเมืองไม่นิ่ง ฉุดเชื่อมั่นลงทุน ชี้ 3 ปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง แนะรัฐเร่งกระตุ้น ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน “สรท.” มองการเมืองไทยไม่นิ่ง เทียบกับประเทศในอาเซียน และเอเชีย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทำธุรกิจ วอนจบปัญหาการเมืองเร็วเพื่อประเทศเดินหน้า
KEY
POINTS
- ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ อาจทำให้โครงการที่รอการอนุมัติหรือก่อสร้างต้องชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด
- ภาคเอกชนมองว่าเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นปัจจัยภายในที่สำคัญที่สุด และเรียกร้องให้การเมืองไทยมีเอกภาพ และเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
- สรท. ระบุว่าความผันผวนทางการเมืองทำให้ความเชื่อมั่นด้านการค้า และการลงทุนต่ำมาก และภาคธุรกิจต้องการให้ปัญหาจบลงโดยเร็วที่สุด
- หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน ทำให้นักลงทุนไม่อยากลงทุนเพิ่ม และภาคธุรกิจต้องปรับตัวลดต้นทุนเพื่อความอยู่รอดด้วยตนเอง
หลัง นางสาวแพทางธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าชี้แจงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานบุคคลกรณีที่ ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของ สว.จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ก่อนให้ยื่นแถลงปิดคดีในวันที่ 27 ส.ค.68 และศาลฯ นัดแถลงด้วยวาจา-ลงมติในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.2568 นั้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลต่อการเมืองอย่างรุนแรงทางใดทางหนึ่ง ในมุมของเศรษฐกิจย่อมได้รับแรงกระเพื่อมจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ระหว่างรอการอนุมัติหรือรอการเริ่มก่อสร้าง ซึ่งหลายรายอาจชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด หากสถานการณ์ภายในยังไม่นิ่งแบบนี้
แม้ปัจจัยภายนอก เช่น การกีดกันทางการค้า จากการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอัตรา 19% รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งควบคุมไม่ได้ ถือเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทบต่อการค้าโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ปัจจัยภายใน โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นสิ่งที่รัฐต้องเร่งจัดการ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจากการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสถานการณ์นี้ต้องอาศัยการเมืองที่เข้มแข็ง มีเอกภาพ และสร้างความเชื่อมั่น ดังนั้น ภาคเอกชนยังคงคาดหวังให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ และเข้มแข็ง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ
งานใหญ่ 3 ด้านรอรัฐบาลเร่งแก้ไข
สำหรับการรับมือกับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง และเร่งแก้ไข คือ 1. สินค้าจีนทะลักเข้าไทย และภูมิภาค จากการที่สหรัฐ และจีนขยายเวลาเจรจาภาษีออกไปอีก 90 วัน จนถึงเดือนพ.ย.2568 ทำให้ไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สินค้าจากจีนจะทะลักเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในตลาดหลักแห่งนี้ v v
"ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สินค้าจีนได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด ทำให้การส่งออกของไทยไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลงจาก 24-25% เหลือเพียง 21% และที่น่ากังวลคือ สินค้าจีนยังไหลเข้าไทยเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขจีดีดีของจีนที่ยังคงเติบโตได้ดีอยู่ที่ 5.4% แม้เศรษฐกิจภายในจะชะลอตัว”
2. การส่งออกไปสหรัฐ ชะลอตัว โดยคาดการณ์ว่า การส่งออกไปสหรัฐ ในช่วงครึ่งปีหลังอาจลดลง เนื่องจากครึ่งปีแรกมีการสต๊อกสินค้าไว้มากแล้ว
3. ภาคการท่องเที่ยวซบเซา ในช่วง 6 เดือนแรก ตัวเลขนักท่องเที่ยวของไทยลดลงเกือบ 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว (High Season) รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นและหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น
หวังรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
นายเกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ที่นอกจากประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว รัฐบาลจะต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณผ่านแล้ว รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายให้ทันเวลา และหามาตรการมาเสริมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสอดรับกับการลงทุนหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ดีที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุนได้ดี
นอกจากนี้ ในเรื่องของการเจรจาการค้าก็สำคัญ ภาครัฐ และเอกชนต้องร่วมกันเจรจาต่อรองเรื่องกฎเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin ) โดยเฉพาะสัดส่วนถิ่นกำเนิดสินค้าที่สหรัฐต้องการให้เพิ่มจาก 40% เป็น 60% ซึ่งต้องพิจารณาความสามารถในการปรับตัวของแต่ละอุตสาหกรรมด้วย
“ในภาพรวมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกของไทยยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี โดยมีตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ค่อนข้างสูง และเชื่อว่ากระแสนี้จะยังคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้”
การเมืองฉุดเชื่อมั่น-หวังจบโดยเร็ว
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองไทยมีความผันผวนสูง หากเทียบกับประเทศในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งผู้นำของไทยในขณะนี้ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการบ้านเมืองให้เข้าที่เข้าทางทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องประชาชน เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง เมื่อไม่มีผู้นำประเทศความเชื่อมั่นในด้านการค้า การลงทุน การทำธุรกิจ ก็ต่ำมากๆ ยิ่งนานไปก็จะยิ่งแย่ลง
“วันนี้ภาคธุรกิจต้องการให้ปัญหาทางการเมืองนิ่ง และเรียบร้อย โดยยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีกับภาคธุรกิจ เพราะหากทอดระยะเวลาให้ยาวนานไปย่อมส่งผลไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทย และการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนไม่อยากลงทุนเพิ่ม ประชาชนก็หมดหวังกับรัฐบาล ยิ่งทำให้ประเทศเสียเปรียบขาดโอกาส”
นายธนากร กล่าวว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจต้องกลับมาดูแลกันเอง ช่วยเหลือตัวให้อยู่รอดท่ามกลางสถานการณ์การเมืองแบบนี้ ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัว ปรับองค์กร ลดต้นทุน เพราะจะให้ภาครัฐช่วยเหลือคงเป็นไปได้ยากในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นจึงอยากให้ปัญหาการเมืองจบโดยเร็วที่สุด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







