เจรจาเอฟทีเอไทย - อียู ส่อแววปิดดีลไม่ทันปลายปี 68 หลังมีรายละเอียดอีกเพียบ

เจรจาเอฟทีเอไทย - อียู ส่อแววปิดดีลไม่ทันปลายปี 68 หลังมีรายละเอียดอีกเพียบ

พาณิชย์ เปิดเวทีรับฟังความเห็นเจรจาเอฟทีเอไทย - อียู  รอบสุดท้าย ก่อนเจรจารอบ 7 ที่กรุงบรัสเซลส์  เผยเจรจาจบแล้ว 7 ข้อบท จาก 24 ข้อบท  รวมทั้งการเปิดตลาด “จตุพร” รับยังมีรายละเอียดอีกมากต้องเจรจา ยันเร่งเจรจาให้ปิดดีลได้ภายในปี 68

กระทรวงพาณิชย์ โดย สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับผู้แทนการค้าไทย จัดงาน ‘Voice x Vision : Thai-EU FTA in Focus’ (Stakeholder Consultation Workshop : Thai-EU FTA) เวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย–สหภาพยุโรป (เอฟทีเอไทย-อียู)  โดยมุ่งเน้นการหารือเชิงนโยบายด้านการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน ครอบคลุมทุกมิติ ผ่านการมีส่วนร่วมจากภาครัฐ เอกชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ 

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การเจรจา FTA ไทย–EU เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญลำดับต้นของรัฐบาล เนื่องจาก EU เป็นตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีมาตรฐานสูง ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสการค้า และการลงทุนให้กับไทยอย่างมหาศาลท่ามกลางความเสี่ยงทั้งสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งในแต่ละภูมิภาค  และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงนโยบายภาษีสหรัฐ ซึ่งใช้มาตรการฝ่ายเดียว  ทำให้แต่ละประเทศหันมาเจรจา FTA กันมากขึ้น เช่นเดียวกับไทย ที่กำลังเดินหน้าเจรจากับอีกหลายประเทศ จากปัจจุบันมี FTA แล้ว 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ เพื่อรักษาระดับการส่งออก  แม้ขณะนี้ การส่งออกไทย จะขยายตัวได้ดี และคาดว่าเดือนก.ค.นี้ น่าจะยังโต 2 หลักต่อเนื่อง แต่ไทย ยังต้องเดินหน้า เจรจา FTA และหาตลาดใหม่ๆ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้า บริการที่ทันกับเทรนด์ของโลก

“FTA ไทย–EU เดินหน้าไปไกลแล้ว เหลือเพียงประเด็นที่ต้องเร่งเจรจาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว โดยครั้งนี้เป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งสุดท้าย เพื่อรับฟังความคิดเห็นทุกด้านกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดทิศทางการเจรจา หลังจากนี้ จะเร่งรวบรวมความคิดเห็นแล้วไปเจรจา เพื่อให้ทันตามเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายในปี 2568

เจรจาเอฟทีเอไทย - อียู ส่อแววปิดดีลไม่ทันปลายปี 68 หลังมีรายละเอียดอีกเพียบ

สำหรับปัญหา และอุปสรรคที่ทำให้การเจรจา FTA ไทย-อียูยังสรุปผลไม่ได้นั้น น่าจะเป็นในเรื่องรายละเอียดของการเจรจา ทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง พลังงาน กติกาการค้าโลก ส่วนเรื่องประมง ไม่น่าจะมีในรายละเอียดมากนัก ซึ่งการเจรจา FTA ไทย-อียู ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ขณะที่ มาตรการ CBAM ผู้ประกอบการได้เตรียมการปรับตัวเรื่องนี้ไว้หลายปีแล้ว จึงเชื่อว่ามาตรการนี้ไม่ใช่ปัญหา และอุปสรรค

“การเจรจาครั้งนี้จะมีทั้งคนได้ และคนเสีย แต่สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวม และประชาชนเป็นหลัก ตั้งแต่เกษตรกร SMEs ไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ ต้องได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม และที่สำคัญคือ สังคมไทยต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” นายจตุพร กล่าว

นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การเจรจา FTA ไทย–EU ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของรัฐบาล แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ภาคเอกชนรายใหญ่ ตลอดจนภาคประชาสังคม การเปิดเวทีเช่นนี้ทำให้เสียงของทุกฝ่ายถูกสะท้อนเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างแท้จริง กระทรวงพาณิชย์จึงได้มอบหมายให้ ITD ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงข้อเสนอ และความห่วงกังวลต่างๆ เพื่อให้การเจรจารอบที่ 7 สามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว และที่สำคัญคือ ให้ประโยชน์ตกถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม

นายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักที่คณะผู้แทนการค้าไทยชุดปัจจุบันเดินหน้าคือ การเร่งเปิดตลาดใหม่ ซึ่งปัจจุบันไทยกับสหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับ EU และเป็นที่คาดหวังของรัฐบาลไทยอย่างยิ่งว่า FTA ฉบับนี้จะช่วยเปิดประตูโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างมหาศาลท่ามกลางความผันผวนของการค้าโลกที่เป็นอยู่

ขณะเดียวกัน ไทยต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับประเด็นเจรจาที่มีความท้าทาย และซับซ้อน อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา การนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ และสินค้าเกษตร รวมถึงกติกาใหม่ๆ เช่น ดิจิทัลเทรด และอีคอมเมิร์ซ การหารือภายในประเทศอย่างรอบด้าน และการสร้างเอกภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจทั้งโอกาส ต้นทุน และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น และสามารถร่วมกันกำหนดแนวทางที่สร้างสมดุลต่อเศรษฐกิจไทย

นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ  กล่าวว่า  ตลาด EU มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีสมาชิกถึง 27 ประเทศ ซึ่งหากการเจรจาเป็นไปตามเป้าหมาย และคาดว่าเมื่อ FTA มีผลบังคับใช้ จะทำให้ไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศทั้งจาก EU และประเทศอื่นๆ ตามมา

สำหรับความคืบหน้าการเจรจานั้น ตั้งแต่เริ่มการเจรจาในปี 2566 กำหนดไว้ 20 กลุ่ม รวม 24 ข้อบท ซึ่งเจรจาจบไปแล้ว  7 ข้อบท ยังเหลืออีก 17 ข้อบท นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเปิดตลาด การลงทุน  ซึ่งจะต้องเจรจาอย่างรอบคอบเพราะมีผู้ส่วนได้ส่วนเสียมาก อีกทั้งยังประเด็นอ่อนไหวโดยเฉพาะการเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

 โดยการเจรจาผ่านการเจรจามาแล้ว 6 รอบ  และจะมีการเจรจาในรอบที่  7 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม โดยทั้ง 2 ฝ่ายตั้งเป้าจะให้เสร็จสิ้นภายในปี 2568 นี้ แต่ยอมรับว่า ยังเหลือประเด็นที่ท้าทายอีกจำนวนมาก

“ ในภาพรวมถือว่า การเจรจามีความคืบหน้าไปในทิศทางบวก และตามแผนยังเหลือการเจรจาอีก 2 รอบ ในช่วงปลายเดือนก.ย. จะเป็นเจรจาในรอบที่ 7 และรอบที่ 8 ปลายเดือน แต่ยอมรับว่า หนทางยังอีกพอสมควร เส้นทางยังขรุขระ  ซึ่งยังเหลือประเด็นที่ท้าทายอีกจำนวนมาก พ.ย. ซึ่งอย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่าย ต่างมุ่งมั่นเพื่อให้การเจรจาสรุปผลได้โดยเร็ว” นางโชติมา กล่าว

ด้าน นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าว่า  ความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่มีความสำคัญสูงต่อยุทธศาสตร์การค้าของไทย การมี FTA จะช่วยลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสำคัญรวมถึงเปิดโอกาสให้บริการ และการลงทุนของไทยเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งยังยกระดับศักยภาพของไทยในการเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้ และแข่งขันได้บนเวทีการค้าระดับโลก เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นตลาดที่มีมาตรฐานเข้มงวดในด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ก้าวทัน

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์