'สภาองค์การนายจ้าง' ชี้ไทยไร้จุดขาย 'ค่าแรง-การเมือง' ฉุดเศรษฐกิจพัง!

'สภาองค์การนายจ้าง' ชี้ไทยไร้จุดขาย 'ค่าแรง-การเมือง' ฉุดเศรษฐกิจพัง!

สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย เผย ปัญหาการเมืองป่วน! นักลงทุนเมินไทยหนีไปเวียดนาม เหตุไทยไร้จุดขาย ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ หวั่น "ค่าแรง" พุ่งบีบ SMEs ปิดกิจการ

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่ไร้สัญญาณฟื้นตัว ซ้ำร้ายยังถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นเป็นหมุดหมายใหม่ของนักลงทุน หลังนโยบายภาครัฐไม่ชัดเจน ไร้ "แม่เหล็ก" ดึงดูดโครงการยักษ์ใหญ่ สะท้อนภาพวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังถูกฉุดรั้งด้วยปัญหาการเมืองที่คาราคาซัง
  • ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่กำลังบีบคั้นภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศในอุตสาหกรรมโรงแรม เป็นการซ้ำเติมธุรกิจ SMEs และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานและปิดกิจการ
  • ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยอย่างหนักคือ "ความไม่แน่นอนทางการเมือง" จากกรณีการตัดสินคดีของนายกรัฐมนตรีวันที่ 29 ส.ค. 2568 ทำให้ทั้งนักลงทุนและตลาดทุนชะลอการตัดสินใจเพื่อรอความชัดเจนในทิศทางของประเทศ “เรากำลังจะเสียแชมป์ให้เวียดนาม”
  • รัฐบาลเร่งแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญให้ตรงกับงานและนำประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งให้มากกว่านี้ เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับคืนมาอีกครั้ง

ประเทศไทยไม่มีจุดขายเหมือนเมื่อก่อน” คำกล่าวที่เจ็บปวดจาก "เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล" ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย (ECOT) ในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่ไร้สัญญาณฟื้นตัว ซ้ำร้ายยังถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นเป็นหมุดหมายใหม่ของนักลงทุน หลังนโยบายภาครัฐไม่ชัดเจน ไร้ "แม่เหล็ก" ดึงดูดโครงการยักษ์ใหญ่ สะท้อนภาพวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังถูกฉุดรั้งด้วยปัญหาการเมืองที่คาราคาซัง

นายเอกสิทธิ์ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" อย่างตรงไปตรงมาว่า ขณะที่เวียดนามเร่งเดินหน้าประกาศการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งอสังหาริมทรัพย์และเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ แต่ประเทศไทยกลับยังไม่ขยับไปไหน และนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจากจีนและญี่ปุ่น เริ่มมองหาประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า

ทั้งนี้ เวียดนาม ได้ประกาศแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ มูลค่ามากถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเป้าหมายการเติบโตของจีดีพี 8% ในปีนี้ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และเพื่อเป้าหมายระยะยาวสู่การเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของเอเชีย และเป็นประเทศรายได้สูงภายใน 2045

รัฐบาลฮานอย จะเปิดตัวโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และที่อยู่อาศัย 250 โครงการทั่วประเทศ มูลค่ารวม 1.28 ล้านล้านดอง (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับชาติที่จะผลักดันจีดีพี 8% ตามเป้าหมายของรัฐบาล และบรรลุเป้าหมายการเติบโต “เลขสองหลัก” ในปีต่อๆ ไป

ค่าแรงพุ่ง ต้นทุนสูง นักลงทุนหนี

ประเด็นค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่กำลังบีบคั้นภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศในอุตสาหกรรมโรงแรม ซึ่งนายเอกสิทธิ์มองว่าเป็นการซ้ำเติมธุรกิจ SMEs ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวน้อยให้ต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาล และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานและปิดกิจการในที่สุด

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของค่าแรงยังเป็นปัจจัยเร่งให้นายจ้างหันไปใช้ เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ทดแทนแรงงานคนมากขึ้น เพราะนักลงทุนมองว่าเป็นการลงทุนก้อนเดียวที่คุ้มค่ากว่า ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และไม่ต้องบริหารจัดการเรื่องสวัสดิการและค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ซับซ้อน

นโยบายรัฐไม่ตอบโจทย์ วิกฤติแรงงานรออยู่

ในส่วนของปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา นายเอกสิทธิ์ แสดงความกังวลต่อมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะนำแรงงานจากศรีลังกาเข้ามาทดแทน โดยระบุว่าอาจไม่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมที่ขาดแคลน ทั้งเกษตรกรรม, ประมง และก่อสร้าง เนื่องจากแรงงานศรีลังกาถนัดงานฝีมือหรืองานบริการมากกว่า และอาจมีปัญหาด้านการสื่อสาร รวมถึงต้นทุนค่าเดินทางที่สูงกว่าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลาว

การเมืองแย่ ฉุดเศรษฐกิจพัง

นายเอกสิทธิ์ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยอย่างหนักคือ "ความไม่แน่นอนทางการเมือง" จากกรณีการตัดสินคดีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันที่ 29 ส.ค. 2568 ทำให้ทั้งนักลงทุนและตลาดทุนชะลอการตัดสินใจเพื่อรอความชัดเจนในทิศทางของประเทศ “เรากำลังจะเสียแชมป์ให้เวียดนาม”

"อยากเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญให้ตรงกับงานและนำประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งให้มากกว่านี้ เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับคืนมาอีกครั้ง"