สศช. เตือนรัฐแบกดอกเบี้ยสูง จ่อทะลุ 12% เสี่ยงถูกลดระดับลงทุน

สศช. เตือนรัฐแบกดอกเบี้ยสูง จ่อทะลุ 12% เสี่ยงถูกลดระดับลงทุน

‘สศช.’ ชี้ความเสี่ยงการคลังเพิ่ม หลังภาระจ่ายดอกเบี้ยต่อรายได้จ่อเกิน 12% ห่วงอันดับเครดิตลดระดับการลงทุนไทยสู่ Non-investment Grade แนะจัดสรรงบใช้คืนเงินต้นเพิ่ม

ปัจจัยเรื่องความเสี่ยงทางการคลัง เป็นประเด็นที่หน่วยงานที่ประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากการประเมินเรื่องของหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) พื้นที่ทางการคลัง (fiscal space) นอกจากนั้นยังมีการประเมินในเรื่องปัจจัยความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศต่างๆซึ่งเป็นหนึ่งเกณฑ์สำคัญต่อการประเมินความเข้มแข็งทางการคลัง

ในการจัดทำรายงาน Economic Outlook ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ล่าสุดในการแถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 /2568 และแนวโน้มปี 2568 สศช.ได้ระบุถึงภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาล ซึ่งหากเกณฑ์ดังกล่าวเกินกว่า 12% มีความเสี่ยงที่หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจจะพิจารณาให้ประเทศไทยอยู่ในระดับประเทศ กลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน (Non-investment Grade)  หรืออาจให้คำแนะนำเป็นกลุ่มที่ลงทุนเพื่อการเก็งกำไร (Speculative Grade)

สศช.ระบุว่าสัดส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้รัฐบาลไทยมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าเกณฑ์ 12%  ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง ดังนั้นการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐจึงควรต้อง จัดสรรงบชำระต้นเงินกู้เพิ่มขึ้น

สศช. เตือนรัฐแบกดอกเบี้ยสูง จ่อทะลุ 12% เสี่ยงถูกลดระดับลงทุน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ในส่วนของหนี้รัฐบาลที่มีวงเงินที่สูงขึ้นมากตั้งแต่ในช่วงวิกฤติ โควิด-19 เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังเพื่อเพิ่มช่องว่าง ทางการคลัง (Fiscal Space) ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับหากมีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์เกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อไม่ให้เสถียรภาพทางการคลังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating) ในระยะต่อไป

สำหรับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทยอยู่ที่ Baa1 โดยเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 Moody’s ปรับมุมมอง เป็น Negative outlook เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนจากการจัดเก็บรายได้ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งการลดลงของศักยภาพทางเศรษฐกิจและสถานะทางการคลังที่อ่อนแอลง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 S&P Global Ratings และ Fitch Ratings รายงานการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของ ไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองไว้ที่ Stable Outlook

เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ภาคการเงินต่างประเทศยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล ทุนสำรองต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ตลาดทุนยังสามารถ รองรับการระดมทุนของภาครัฐและเอกชนได้ แม้จะมีความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศและมีอายุหนี้เฉลี่ยที่ ค่อนข้างยาวและเอื้อต่อการบริหารจัดการภาระหนี้ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง 87.4%  ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ ประเทศในภูมิภาคเดียวกันและเป็นข้อจำกัดต่อประสิทธิภาพในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อจำกัดทางการคลังโดยเฉพาะด้านความสามารถ ในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 16% ต่อจีดีพีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มประเทศ OECD และในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก (Asia and the Pacific) ที่ 24.8% และ 18.6%

 ขณะเดียวกันไทยยังมีความเสี่ยงจากการที่หนี้ สาธารณะปรับตัวเข้าสู่เพดานหนี้ตามกฎหมายที่ 70% ต่อจีดีพี เร็วกว่าการคาดการณ์ อันอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อไป

สศช.ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่าการกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ รายได้และการลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐลงให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมจะส่งผลให้ ภาคการคลังมีความเข้มแข็งมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับ ความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทย และสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับโครงสร้างรายได้รัฐบาลของไทยพบว่าโดยเฉลี่ยมีสัดส่วนภาษีทางอ้อมคิดเป็น 51.4% ขณะที่ภาษีทางตรงคิดเป็นสัดส่วน 36.2% ประกอบกับโครงสร้างภาษีที่พึ่งพาฐานการบริโภคมากกว่าฐานรายได้หรือฐานทรัพย์สิน และเมื่อคำนวณค่าความยืดหยุ่นของรายได้ (Buoyancy Revenue) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การจัดเก็บรายได้รัฐบาลขยายตัวต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ดังนั้น ในระยะต่อไปท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ประกอบกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุที่มี สัดส่วนมากขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ปรับโครงสร้างภาษี ขยายฐานภาษี ให้ครอบคลุม รวมทั้งพิจารณาทบทวนและยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ผ่านมาตรการทางภาษีที่ไม่เกิดความคุ้มค่า การลดความซ้ำซ้อน และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีวัตถุประสงค์เป็นการเฉพาะเท่าที่จำเป็น