เส้นทางร่วมของนโยบายการแข่งขันทางการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภค

แม้นโยบายการแข่งขันทางการค้าและนโยบายการคุ้มครองผู้บริโภค อาจถูกมองว่ามีสถานะและบทบาทที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น เป้าหมายเบื้องต้น หรือกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
รวมไปถึงกรอบกฎหมายในการกำกับดูแลก็ตาม แต่หากพิจารณาในเชิงหลักการแล้ว ทั้งสองนโยบายต่างมีจุดร่วมสำคัญที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ในท้ายที่สุด นั่นก็คือ “ประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค”
นโยบายการแข่งขันทางการค้ามุ่งเน้นในการคุ้มครองผู้ประกอบธุรกิจในทุกระดับเป็นหลัก เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ในขณะที่นโยบายการคุ้มครองผู้บริโภคจะมุ่งเน้นในสิทธิของผู้บริโภคโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น ความปลอดภัยของการบริโภคสินค้าหรือบริการ การเข้าถึงข้อมูล รวมถึงทางเลือกที่หลากหลายในการบริโภคสินค้าและบริการ
อย่างไรก็ตาม ในมิติทางเศรษฐศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า ทั้งสองนโยบายมีจุดบรรจบร่วมกัน เหตุเพราะการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมย่อมนำไปสู่ระดับราคาสินค้าและบริการที่เหมาะสม เกิดนวัตกรรมซึ่งจะเพิ่มความหลากหลายและอำนาจต่อรองให้กับผู้บริโภค ในขณะที่การแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมย่อมลดทอนอำนาจต่อรองของผู้บริโภคอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ดังนั้น การบูรณาการทั้งสองนโยบายเข้าด้วยกัน จึงไม่ใช่เพียงแค่การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน หากแต่เป็นการออกแบบระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่อาจกล่าวได้ว่า มีองค์ประกอบทั้ง “กติกาที่เป็นธรรม” และ “เกราะคุ้มครองที่เพียงพอ” สำหรับผู้บริโภคในทุกมิติ
ตลาดดิจิทัล (Digital Markets) เป็นหนึ่งกรณีตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของสองนโยบายนี้ได้อย่างค่อนข้างชัดเจน
ตลาดนี้มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Market) โดยมีผู้เล่นรายใหญ่ที่สามารถใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นเครื่องมือกำหนดเงื่อนไขในตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในมิติของการแข่งขันทางการค้า และการคุ้มครองผู้บริโภค
เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-commerce Platform) ที่มีระบบจัดอันดับสินค้าและร้านค้าโดยอิงจากอัลกอริทึม (Algorithm) ซึ่งแม้ดูเหมือนเป็นระบบกลางที่ไม่มีอคติ แต่หากไม่มีการเปิดเผยข้อมูลหรือหลักเกณฑ์อย่างโปร่งใส ก็อาจเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า และยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในมุมของผู้ประกอบธุรกิจอีกด้วย
หรือในกรณีที่การให้บริการดิจิทัลที่ผู้ให้บริการสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก
โดยผู้บริโภคอาจไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้อย่างไร หรือมีสิทธิอย่างใดบ้างในการควบคุมข้อมูลของตนเอง ซึ่งเรื่องนี้มีนัยอย่างยิ่งทั้งในแง่การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
หากผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่รายใดสามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นสร้างข้อได้เปรียบเพื่อเพิ่มอำนาจเหนือตลาดให้กับตน และใช้อำนาจเหนือตลาดนั้นในทางที่ผิดโดยมีพฤติกรรมทางธุรกิจที่ขัดต่อกฎหมายการแข่งขันทางการค้า
ความทับซ้อนระหว่างการคุ้มครองข้อมูลกับการรักษากลไกการแข่งขันในตลาดดิจิทัล จึงเป็นอีกหนึ่งโจทก์ร่วมที่ต้องการความร่วมมือของทั้งสองนโยบายในการออกแบบกฎเกณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ให้ความคุ้มครองผู้บริโภค แต่ยังต้องไม่เปิดช่องให้เกิดการใช้ข้อจำกัดเหล่านั้นในการสกัดการแข่งขันที่เป็นธรรมหรือสร้างความได้เปรียบทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบธุรกิจจำนวนไม่น้อยในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ยังมีบทบาททั้งในฐานะ “ผู้ผลิตหรือผู้ขาย” และ “ผู้บริโภค” ไปพร้อมกัน เช่น ผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กที่ใช้แพลตฟอร์มซื้อบริการดิจิทัลจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าของตน
ดังนั้น ในการออกแบบกฎกติกาที่ทำให้เกิดความสมดุล จึงไม่ควรยึดเพียงกรอบใดกรอบหนึ่ง แต่ต้องคำนึงให้รอบด้านถึงผลกระทบต่อทุกบทบาท ทุกสถานะที่ผู้ประกอบธุรกิจรายหนึ่งๆ จะสามารถมีได้ในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
จึงกล่าวได้ว่า หากสามารถประสานหรือเชื่อมโยงการทำงานของนโยบายการแข่งขันทางการค้าและนโยบายการคุ้มครองผู้บริโภคเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มขึ้นของสวัสดิการผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและบริการ ความหลากหลายของตัวเลือกและระดับราคาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม
การยกระดับกลไกการกำกับดูแล ให้สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ซับซ้อนและยากแก่การตรวจสอบ ลดการใช้อำนาจตลาดที่เหนือกว่าในทางที่ผิด โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ใช้ความได้เปรียบด้านข้อมูล เครือข่าย หรืออิทธิพลทางเทคโนโลยีในการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคหรือตัดโอกาสคู่แข่งทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม
รวมถึงสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า ด้วยการเปิดรับแนวคิดด้านสิทธิผู้บริโภคเข้ามาประกอบการพิจารณา ซึ่งจะช่วยให้คำวินิจฉัยมีมิติเชิงสังคมและเศรษฐกิจที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นต้น
ดังนั้น การทำให้นโยบายการแข่งขันทางการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภคสามารถ “ทำงานร่วมกัน” ได้จริง คือก้าวสำคัญในการออกแบบระบบเศรษฐกิจที่สมดุล โปร่งใส และเป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลต่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศโดยรวมในระยะยาว







