“สารเร่งเนื้อแดงในโค-สุกร”กฎการค้า สหรัฐรอไทยเคลียร์ให้จบรับภาษี19%

หลังวันที่ 7 ส.ค. 2568 สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% สำหรับสินค้าทั่วไป แลกกับการเปิดตลาดในประเทศไทยให้สหรัฐ ด้วยอัตราภาษี 0%
แต่ที่ยากกว่านั้นคือ มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ที่ไทยมีไว้ใช้ปกป้องผู้ประกอบการในประเทศในที่นี้คือ เกษตรกรนั่นเอง
ข้อมูลจากรายงานประมาณการการค้าแห่งชาติปี 2024 เรื่อง อุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ หรือ 2024 National Trade Estimate Report on FOREIGN TRADE BARRIERS ซึ่งเป็นข้อมูลทางการค้าที่มีอยู่ล่าสุดในตอนนี้ ระบุว่า อุปสรรคด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชสำหรับผลิตภัณฑ์จากสัตว์ กรมปศุสัตว์ของประเทศไทย (DLD) ได้กำหนด กำหนดให้มีการตรวจสอบสถานประกอบการผลิตในประเทศผู้ส่งออกก่อนอนุญาติให้นำเข้าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ซึ่งรวมถึงเนื้อสัตว์ กระดูกป่น และขนป่น
ทั้งนี้ การอนุมัติการตรวจสอบแต่ละครั้งมีอายุ 5 ปี นอกจากนี้กรมปศุสัตว์ยังกำหนดให้มีการอนุมัติการตรวจสอบสถานประกอบการเป็นเวลา 5 ปีสำหรับส่วนผสมอาหารสัตว์นำเข้าที่ได้มาจากหรือมีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก เหล่านี้คืออุปสรรคทางการค้าดังนั้นสหรัฐได้แนะนำให้ประเทศไทยใช้แนวทางเชิงระบบ ซึ่งจะยอมรับระบบการตรวจสอบของสหรัฐว่าเทียบเท่ากับของไทย และลดค่าใช้จ่ายและภาระของข้อกำหนดการตรวจสอบในปัจจุบันของไทย
โดยกรมปศุสัตว์ ได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สหรัฐเมื่อปลายปี 2562 แต่ยังไม่ได้ส่งแบบสอบถามไปยังกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) เพื่อดำเนินการขั้นตอนต่อไป โดยหน่วยงานตรวจสอบสุขภาพสัตว์และพืชของ USDA (APHIS) ได้ส่งคำขอตรวจสอบระบบอีกครั้งในเดือนส.ค.2566ที่ผ่านมา
สำหรับสินค้าเนื้อหมู รายงานระบุว่า ในปี พ.ศ. 2555 หลังจากที่ Codex ( องค์กรมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ(Codex Alimentarius Commission)) ได้กำหนดค่า MRL (ปริมาณสารตกค้างสูงสุด)สำหรับสารแรคโทพามีน หรือ สารเร่งเนื้อแดง ในเนื้อเยื่อโคและสุกร
โดยประเทศไทยได้ระบุว่าจะยกเลิกการห้ามนำเข้าเนื้อหมูจากประเทศที่อนุญาตให้ใช้สารแรคโทพามีน รวมถึงสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่ได้กำหนดค่า MRL สำหรับสารแรคโทพามีนในเนื้อหมู ซึ่งเป็นการป้องกันการนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อหมูจากสหรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยและสหรัฐได้ตกลงที่จะทบทวนทางเลือกในการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสำหรับประเทศไทยในการพัฒนาค่า MRL สำหรับสารแรคโทพามีน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าในประเด็นนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. พ.ศ. 2563 สหรัฐได้เพิกถอนสิทธิพิเศษทางการค้าปลอดอากรของประเทศไทยประมาณหนึ่งในหกภายใต้โครงการระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ของสหรัฐ
แม้ว่าเนืื้อหาข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยเสนอให้สหรัฐเพื่อให้ได้ภาษีศุลกากรอัตรา 19% นั้น ยังไม่เป็นที่เปิดเผยแต่สามารถอนุมานสาระสำคัญในเบื้องต้นได้ว่า สินค้าที่สหรัฐต้องการนำเข้ารายการหนึ่งคือ “หมูเนื้อแดง”ซึ่งเป็นประเด็นทางการค้าที่ระบุในรายงานอุปสรรคทางการค้าของสหรัฐในเกือบทุกปี
อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามความกังวลของสัมคมถึงกรณีการเปิดตลาดเนื้อสุกรให้กับสหรัฐ เพื่อแลกกับภาษี 19 % ซึ่งมีความเสี่ยงจะมีเนื้อสุกรปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากไทยมีข้อห้ามไม่ให้ใช้สารดังกล่าวในการเลี้ยงสุกรในประเทศ
ดังนั้นด้วยความเป็นห่วงสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ โดยส่วนตัวไม่เคยเห็นด้วยกับการอนุญาตให้มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสัตว์ในประเทศไทย เพราะมั่นใจว่าสารเร่งเนื้อแดงจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ความเห็นนี้อาจไม่สอดคล้องกับแนวทางของทีมไทยแลนด์ที่ไปเจรจาแก้ปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐ แต่ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทีมเจราจาซึ่งในฐานะที่เป็นเจ้ากระทรวงดูแลกํากับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเป็นต้องรักษาจุดยืนและยืนยันว่า ทุกความเห็นที่กระทรวงเกษตรฯได้มอบให้กับทีมเจรจาไปก่อนหน้านี้ โดยกำหนดให้ยึดมั่นในประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนคนไทยเป็นหลัก
ในเบื้องต้นได้เห็นในความตั้งใจของทีมเจรจาที่ต้องการให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดสําหรับประเทศและเชื่อว่าทีมเจรจาจะคํานึงถึงผลกระทบในมิติต่าง ๆ ไม่ใช่มิติด้านความปลอดภัยอย่างเดียว แต่เป็นทุกมิติที่จะส่งผลกระทบต่อคนไทย
“ตลอดระยะเวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีคําถามถึงจุดยืนของตนในฐานะผู้ที่กํากับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมปศุสัตว์ ว่า มีความเห็นอย่างไรต่อการใช้สารเร่งเนื้อแดงในประเทศไทย โดยผมได้รับการสอบถามจากเพื่อน สส.จากหลายพรรคการเมือง และหลายคนให้ความกังวลต่อการใช้สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสุกรรวมทั้งในเนื้อโคจะเกิดอะไรขึ้น เพราะจากรายงานหรือผลการศึกษาต่าง ๆ ยืนยันชัดเจนว่า สารเร่งเนื้อแดงหลายตัวจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค เช่น การที่ทําให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นโดยเฉพาะในเด็กและผู้มีครรภ์”
นสพ.ชัยวัฒน์ โยธคล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่ มกอช.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)รวมไปถึง กรมอนามัย และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)เพื่อบูรณาการการดำเนินงานมุ่งสู่ความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการนั้น มกอช.ต้องขอแสดงความชื่นชมต่อการทำหน้าที่เชิงรุกของ อย.ที่ตรึงมาตรฐานและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างเคร่งครัดในอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง หรือสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ ในการเลี้ยงสัตว์มานานกว่า 20 ปีแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้เดินหน้าสั่งห้ามเกษตรกรใช้สารเร่งเนื้อแดงโดยเด็ดขาด และทาง อย.ได้กำหนดให้อาหารทุกชนิดมีมาตรฐาน ต้องไม่พบการปนเปื้อนของสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ และเกลือของสารกลุ่มนี้ โดยมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ประชาชนได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานได้จับมือร่วมกันดำเนินมาตรการตรวจสอบและควบคุมอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ต้นทางการผลิตจนถึงปลายทางการจำหน่าย เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารและสุขภาพของผู้บริโภค
“ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชน ร่วมมือกันรักษามาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารไทยให้มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งการคุมเข้มเรื่องสารเร่งเนื้อแดงเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่จะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกด้วย”
สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่าในขณะนี้กรมปศุสัตว์ยังไม่ได้รับแจ้งถึงรายละเอียดและการดำเนินการใด ๆ อย่างชัดเจนถึงกระแสการเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐแลกกับภาษีที่ไทยได้รับ 19 % โดยสังคมมีความกังวลถึงการใช้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมูจะกระทบต่อสุขภาพของคนไทย อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์มีจุดยืนอย่างชัดเจนต่อนโยบายห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง ตลอดห่วงโซ่การผลิต พร้อมทั้งได้สร้างการรับรู้ต่อเกษตรกรให้ตระหนักถึงอันตราย และผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเร่งเนื้อแดงมาโดยตลอด
ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการมาตรการเชิงรุกเฝ้าระวังการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงในโรงฆ่าสัตว์ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ และฟาร์มทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยปลอดสารเร่งเนื้อแดง และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ที่พร้อมจะส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า ซึ่งมีกว่า 160 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหภาพยุโรป จีน รัสเซีย และญี่ปุ่น ต่างก็มีคำสั่งห้ามใช้ และห้ามนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดง เนื่องจากมีข้อกังวลด้านสุขภาพในผู้บริโภค
สำหรับสารเร่งเนื้อแดง ถือเป็นสารต้องห้ามตามกฎหมายไทย เนื่องจากมีผลกระทบต่อสุขภาพหากมีการสะสมในร่างกาย อาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย







