'อัยการ' ตอบปมแก้สัญญาไฮสปีด CP ค้านแบ่งจ่ายค่าสิทธิ 'แอร์พอร์ตลิงก์'

'อัยการ' ตอบปมแก้สัญญาไฮสปีด CP ค้านแบ่งจ่ายค่าสิทธิ 'แอร์พอร์ตลิงก์'

จับตาแก้สัญญา “ไฮสปีดสามสนามบิน” เข้าบอร์ด รฟท. 21 ส.ค.68 นี้ หลังอัยการสูงสุดเห็นแย้งแบ่งจ่ายสิทธิบริหาร “แอร์พอร์ตลิงก์” ควรเร็วกว่า 7 งวด พร้อมเร่ง “ซีพี” วางแบงก์การันตี 1.6 แสนล้าน รับเงื่อนไข “สร้างไปจ่ายไป” ด้านอีอีซีตั้งเป้าเสนอ สกพอ. ต้นเดือนก.ย.นี้ และลงนามเอกชน ดันก่อสร้างปีหน้า

KEY

POINTS

  • จับตาแก้สัญญา "ไฮสปีดสามสนามบิน" เข้าบอร์ด รฟท. 21 ส.ค.นี้ หลังอัยการสูงสุดตอบกลับความเห็น แย้งแบ่งจ่ายสิทธิบริหาร "แอร์พอร์ตลิงก์" ควรเร็วกว่า 7 งวด พร้อมเร่ง "ซีพี" วางแบงก์การันตี 1.6 แสนล้าน รับเงื่อนไข "สร้างไปจ่ายไป" 
  • ด้านอีอีซีตั้งเป้าเสนอ สกพอ.ต้นเดือน ก.ย.นี้ และลงนามเอกชน ดันก่อสร้างปีหน้า ยันเอกชนต้องเตรียมหลักประกันเพิ่มเติม รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท นำมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามสัญญา หรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุน

รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) มีการลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ถือหุ้นใหญ่ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562 หลังชนะการประมูล และขอรับเงินร่วมลงทุนจากรัฐต่ำสุด 117,226 ล้านบาท

ปี 2563 เกิดการระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ขอให้ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาผลกระทบที่ทำให้ผู้โดยสารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ลดลง และกระทบประมาณการผู้โดยสารรถไฟความเร็วสูง โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการเยียวยาเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564 และนำมาสู่การเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน

คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เห็นชอบแก้ไขสัญญา 5 ประเด็น เมื่อเดือนต.ค.2567 และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) อยู่ระหว่างเตรียมเรื่องเสนอ ครม.

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ.เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาฉบับแก้ไขส่งกลับมายัง รฟท.แล้ว โดยเบื้องต้น รฟท.จะนัดหารือร่วมคณะทำงาน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย รฟท. , สกพอ.และตัวแทนเอกชน (ซีพี) ภายในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ หากการพิจารณาความเห็นของอัยการแล้วเสร็จ สามารถเดินหน้าต่อได้โดยไม่ขัดข้อกฎหมาย ตามขั้นตอนจะเสนอร่างสัญญาฉบับดังกล่าวไปยังคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ซึ่งจะประชุมวันที่ 21 ส.ค.2568 หลังจากนั้นจะส่งคณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาสัปดาห์ถัดไป จึงคาดว่าร่างสัญญาดังกล่าวจะเสนอมายัง สกพอ.ภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้

ขณะที่ สกพอ.จะรวบรวมเรื่องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ซึ่งมีนัดประชุมต้นเดือน ก.ย.นี้ หากได้รับอนุมัติสัญญาดังกล่าวทาง กพอ.จะเสนอสัญญาคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเดือน ต.ค.2568 ซึ่งหากผ่านการอนุมัติจะเริ่มเตรียมลงนามแก้ไขสัญญา ซึ่งจะดำเนินการได้ภายในปีนี้และให้เอกชนเริ่มก่อสร้างในปี 2569

รฟท.มั่นใจสร้างไปจ่ายไป

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท.เผยกับกรุงเทพธุรกิจ ว่า รฟท.อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นเกี่ยวกับการสัญญาแก้ไข ซึ่งยอมรับว่าทางอัยการมีข้อเสนอหลายประเด็น โดย รฟท.อยู่ระหว่างพิจารณาร่วมกับ สกพอ. และภาคเอกชน ซึ่งยืนยันว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย และภาครัฐต้องไม่เสียประโยชน์

ส่วนประเด็นสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเกี่ยวกับสัญญาฉบับแก้ไขที่มีการปรับแก้วิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการนี้ จากเดิมรัฐจะจ่ายเมื่อก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ปรับเป็นรูปแบบสร้างไปจ่ายไป อาจขัดต่อหลักการร่วมทุนที่ได้เสนอ ครม.ไปแล้วก่อนหน้านี้นั้น ขอยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวได้มอบหมายให้ทีมงานศึกษารายละเอียดทั้งหมดอยู่ และไม่ได้มีความกังวลต่อการดำเนินงาน

อัยการค้านแบ่งจ่ายแอร์พอร์ตลิงก์

แหล่งข่าว สกพอ.เผยว่า วันที่ 18 ส.ค.2568 ได้ประชุมคณะทำงาน 3 ฝ่าย ในโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน ภายหลังสำนักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือตอบกลับความเห็นการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ซึ่งจากการพิจารณาความเห็นของอัยการ ส่วนใหญ่มากกว่า 95% เห็นด้วย และไม่ปรับแก้ไขร่างสัญญา มีเพียงอีก 5% ที่อัยการสูงสุดมีความเห็นเพิ่มเติมว่าหากแก้ไขจะทำให้รัฐได้ประโยชน์มากกว่า

โดยประเด็นที่อัยการสูงสุดมีความเห็นนั้น มีสาระสำคัญอาทิ การชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) ซึ่งแนวทางแก้ไขสัญญาได้กำหนดให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่าๆ กัน และต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ประเด็นนี้อัยการสูงสุดได้มีความเห็นจากเดิมที่แบ่งจ่าย 7 งวด เป็นแบ่งจ่ายให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้มีประเด็นการปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการที่ปรับเป็นรูปแบบสร้างไปจ่ายไป โดยทำให้รัฐต้องจ่ายค่าสนับสนุนงานโยธาเร็วขึ้น เป็นการจ่ายตามงวดงาน ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท แต่มีเงื่อนไขกำหนดว่าเอกชนจะต้องวางหลักประกันเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้กระทบกรณีการทิ้งงาน

แนะเร่งเอกชนวางแบงก์การันตี

โดยประเด็นปรับวิธีการชำระเงินเป็นสร้างไปจ่ายไปนั้น ทางอัยการสูงสุดมีความเห็นให้เจรจากับเอกชนเพื่อวางหลักประกันควรเร็วขึ้นกว่าเดิม ที่กำหนดไว้ในร่างสัญญาที่แก้ไขว่า เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันทันที ณ วันลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุน แต่นำหลักประกันดังกล่าวมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามสัญญา หรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนงวดแรกต้องวางหลักประกันทันที

“ยืนยันว่าอัยการสูงสุดไม่ได้แก้ไขร่างสัญญาแต่อย่างใด ซึ่งให้ดำเนินการยึดตามมติ ครม.และไม่ขัดต่อหลักการ เพียงแต่อัยการมีความเห็นว่าให้ภาครัฐไปเจรจากับเอกชนเพิ่มเติม เพื่อให้รัฐได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งในประเด็นการเร่งจ่ายค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ และการวางหลักประกันเพิ่มเติม เพื่อเข้าเงื่อนไขรับเงินที่รัฐร่วมทุน ควรเจรจาให้วางหลักประกันเร็วขึ้น”

แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า ทางอัยการสูงสุดไม่ได้แก้ไขรายละเอียดเพิ่มเติม เพียงแต่มีความเห็น และข้อเสนอแนะประกอบเพื่อให้รัฐได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะดำเนินการตามหรือไม่ขึ้นอยู่กับ รฟท.พิจารณา หาก รฟท.ไม่ต้องการแก้ไขตามข้อเสนอแนะก็สามารถทำได้ เพราะร่างสัญญานี้ถือว่าอัยการสูงสุดเป็นผู้ตรวจสอบแล้ว

รอคำตอบ “ซีพี” แก้ไขสัญญา

ทั้งนี้ ภายหลังหารือร่วม 3 ฝ่าย ทางเอกชนรับทราบข้อเสนอแนะของอัยการสูงสุด และต้องกลับไปหารือกับคณะกรรมการบริษัท และสถาบันทางการเงิน จากนั้นเอกชนต้องกลับไปจัดทำหนังสือถึงความเห็นของอัยการสูงสุดในการแก้ไขร่างสัญญา และส่งเป็นทางการว่าเอกชนเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร คาดว่าเอกชนจะส่งหนังสือตอบกลับมาภายในสัปดาห์นี้

แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า หลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 

1.หนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท 

2.หนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท 

3.หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาท 

4.หนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท โดยวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือกำหนดทยอยชำระรวม 7 งวด

“หลักประกันก้อนใหม่ เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันทันทีที่ลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุน โดยใช้เวลาหาหลักประกันได้ และนำมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามสัญญา หรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนต้องวางหลักประกันทันที โดยการสร้างไปจ่ายไปจะทยอยจ่าย 5 งวด งวดละ 25,000 ล้านบาท โดยเมื่อเอกชนสร้างงานโยธาเสร็จมาส่งงานจะคืนแบงก์การันตีเท่าจำนวนงวดงานกลับไปด้วย”

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์