สกัดดัมพ์ราคา EV ปลดล็อกค่ายรถส่งออก จับขึ้นราคาหลังจบ EV 3.0

สกัดดัมพ์ราคา EV  ปลดล็อกค่ายรถส่งออก จับขึ้นราคาหลังจบ EV 3.0

ค่ายรถประเมินแผนผลิต EV ชดเชยนำเข้าตามเงื่อนไขมาตรการ หวั่นไม่ทันกำหนด ขานรับปรับแผน หันส่งออกรับสิทธิคำนวณ 1.5 เท่า เชื่อดีกับค่ายรถ เลี่ยงดัมพ์ราคาในประเทศ

KEY

POINTS

  • ภาครัฐออกมาตรการผ่อนปรนให้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสามารถนับยอดผลิตเพื่อการส่งออกมาชดเชยการนำเข้าได้ เพื่อป้องกันปัญหารถล้นตลาด และสกัดการดัมพ์ราคาในประเทศ
  • มาตรการดังกล่าวจูงใจให้ค่ายรถยนต์วางแผนผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งช่วยให้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการผลิตชดเชยของมาตรการ EV 3.0 ได้ง่ายขึ้น
  • คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ EV จะเร่งตัวขึ้นอย่างมากในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากผู้บริโภคจะรีบซื้อก่อนมาตรการสนับสนุน EV 3.0 สิ้นสุดลง ซึ่งจะทำให้ราคารถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น

ตลาดรถยนต์ปี 2568 ยังมียอดขายลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบปี 2567 แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น และเป็นไปได้ที่ทั้งปีอาจขยายตัวเล็กน้อยอยู่ระดับ 6 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้ 5.7 แสนคัน

ขณะที่รถพลังงานไฟฟ้า (EV) ตลาดขยายตัวโดดเด่น โดยช่วง 7 เดือน ยอดจดทะเบียนแตะ  6.6 หมื่นคัน ใกล้เคียงปีที่แล้วทั้งปี 6.7 หมื่นคัน แต่หลายคนจับตามาตรการส่งเสริมภาครัฐ EV3.0 และ EV3.5 ที่มีเงื่อนไขผลิตชดเชยการนำเข้าทันกำหนดหรือไม่ หลังกรมสรรพสามิตจับตาผู้ผลิตบางรายที่แนวโน้มจะไม่ทันจึงให้รายงานแผนการผลิต และการผลิตจริงรายเดือน 

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การผลิตชดเชยจะทันหรือไม่ทัน เชื่อว่ากรมสรรพสามิตมีข้อมูล และติดตามสถานการณ์ โดยเอ็มจีมั่นใจไม่มีปัญหา และมียอดที่เอ็มจีต้องผลิตชดเชย 2 หมื่นคัน ซึ่งผลิตไปแล้ว 1 หมื่นคัน 

“การผลิตชดเชยจะทันหรือไม่ทันอยู่ที่ความสามารถในการผลิต และการตลาดของแต่ละค่าย โดยค่ายใดมียอดขายดีก็ไม่กังวลเพราะมีตลาดรองรับ” 

สกัดดัมพ์ราคา EV  ปลดล็อกค่ายรถส่งออก จับขึ้นราคาหลังจบ EV 3.0

ปรับเงื่อนไข “สกัดสงครามราคา”

ทั้งนี้ หลังมีประเด็นการผลิตชดเชยบางรายอาจมีปัญหาทำให้คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) และกรมสรรพสามิตมีมาตรการผ่อนคลายทั้งยืดเวลาโครงการ EV 3.0 เข้าร่วม EV 3.5 และการให้สิทธิถอนการใช้สิทธิ (รวมรถที่ส่งมอบลูกค้าแล้วแต่ยังไม่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐ) 

รวมถึงการส่งออกให้นำมาคำนวณการผลิตชดเชยได้ 1.5 เท่า เป็นแนวทางคลี่คลายสถานการณ์ได้ดีช่วยผู้ผลิตเพราะเงื่อนไขนี้ทำให้ผลิตชดเชยได้เร็วขึ้น 

ขณะเดียวกันมุมภาครัฐ รถที่ผลิตชดเชยในประเทศหากจำหน่ายในประเทศยังได้สิทธิสนับสนุนสูงสุด 1.5 แสนบาท/คัน (EV 3.0) แต่หากเปลี่ยนไปส่งออกแทนจะทำให้รัฐไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้

รวมถึงความกังวลหากผู้ผลิตทุกรายเร่งผลิตแต่ไม่ส่งออกทำให้รถเข้าตลาดมากขึ้น ซึ่งแม้ตลาดขยายตัวดีแต่หากปริมาณรถออกมามากในเวลาจำกัดจะทำให้ทุกรายเร่งขาย และนำไปสู่สงครามราคารุนแรง

“ผู้บริโภคอาจมองเป็นเรื่องดีกับเกมราคาเพราะซื้อรถราคาถูก แต่ระยะยาวไม่เป็นผลดีกับใครเลย ดังนั้นหากมีมาตรการปลดล็อกก็จะดี ซึ่งการให้สิทธิส่งออกได้เป็นหนึ่งในนั้น”

สกัดดัมพ์ราคา EV  ปลดล็อกค่ายรถส่งออก จับขึ้นราคาหลังจบ EV 3.0

ประเมินสัดส่วน EV พุ่งแตะ 18%

แหล่งข่าวระดับสูงบริษัทรถยนต์ กล่าวว่า ตลาด EV ปีนี้เติบโตน่าสนใจหลังผ่านไป 7 เดือน ยอดจดทะเบียน 6.6 หมื่นคัน ใกล้ปี 2567 ทั้งปี และทำให้สัดส่วน EV ในตลาดรถรวมเพิ่มเป็น 17.7% ขยายตัวชัดเจนจาก 11.4% ในปี 2567 และเมื่อทิศทางตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจึงเป็นไปได้สูงที่ปี 2568 สัดส่วน EV จะสูงกว่า 20% มีส่วนทำให้สถานการณ์ตลาดรถยนต์รวมปีนี้ดีขึ้น

การที่ตลาดอีวีได้รับความนิยมมากขึ้น มาจากหลายสาเหตุ และหนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ ความมั่นใจต่อ EV เพิ่มขึ้น จากเดิมเป็นจุดอ่อน หรือ pain point สำคัญช่วงการเริ่มต้น ซึ่งความมั่นใจดีขึ้นมาจากการมีผู้จำหน่ายทำตลาดมากขึ้น มีรุ่นรถให้เลือกมากขึ้น และราคาน้ำมันแพง

นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ ระดับราคา ซึ่งปัจจุบัน อีวี เป็นตลาดที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และค่าดูแลรักษาที่ต่ำกว่า

คาดปลายปียอดพุ่ง ชิงซื้อก่อนราคาขึ้นปี 69

ส่วนทิศทางจากนี้ยอดขายจะโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลายปีผู้บริโภคเร่งตัดสินใจเพราะปี 2569 แนวโน้มราคา EV เพิ่มขึ้นหลังหมดเวลาส่งเสริมจากรัฐ​โดยเฉพาะ EV3.0 ที่ได้เงินสนับสนุนสูงสุดคันละ 1.5 แสนบาท รวมถึงอัตราภาษีสรรพสามิตจะเพิ่มจาก 2% เป็น 10%

รวมทั้งโครงสร้างราคา EV หลายรุ่นที่ลูกค้าเข้าถึงง่ายขึ้น มาจาก 2 ส่วนหลัก คือ

  • เทคโนโลยีการผลิตพัฒนาขึ้นทำให้ลดต้นทุนได้อีก
  • การสนับสนุนจากภาครัฐ 

ทั้งนี้ถ้าเทียบมูลค่าการสนับสนุนภาครัฐแล้ว ไม่สามารถเทียบกันได้จึงกระทบราคาแน่นอนหากมาตรการสนับสนุนจบลง และเมื่อมาตรการจบลง บวกกับผู้ทำตลาดที่ร่วมมาตรการต้องผลิตรถตามเงื่อนไขอาจทำให้แข่งขันรุนแรงช่วงปลายปีได้

ดังนั้นการหาทางออกของภาครัฐด้วยการกำหนดหลายมาตรการทั้ง การส่งออก การยืดเวลา EV3.0 ไปเข้าเงื่อนไข EV3.5 หรือให้สิทธิทบทวนการใช้สิทธิเป็นแนวทางดีที่รักษาเสถียรภาพตลาด

สกัดดัมพ์ราคา EV  ปลดล็อกค่ายรถส่งออก จับขึ้นราคาหลังจบ EV 3.0

“บีวายดี-เนต้า” ขายมากต้องผลิตชดเชยมาก

สำหรับการผลิตชดเชยการนำเข้า EV ค่ายที่ต้องจับตาคือ ผู้มียอดขายมาก เพราะหมายถึงการผลิตชดเชยต้องมากตามไปด้วย ซึ่งตั้งแต่ EV ขยายตัวโดดเด่นปี 2565 เป็นปีเริ่มมาตรการ EV3.0 เนต้า และ บีวายดีเป็นตลาดที่โดดเด่น โดยปีแรก เนต้า มียอดขายอันดับ 1 และจากนั้น บีวายดี ครองผู้นำตลาดมาตลอด 

ส่วนเนต้าที่ปัจจุบันหยุดสายการผลิตรูปแบบการว่าจ้างไปแล้วนั้น กรมสรรพสามิตกำลังติดตามดูสถานการณ์ใกล้ชิดเพราะยังเหลือจำนวนที่ต้องผลิตชดเชยอีก 1.9 หมื่นคัน แม้ทางทฤษฎีไม่น่าจะทันปี 2568 แต่การที่โครงการสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2568 ดังนั้นภาครัฐจึงทำได้แค่ติดตามสถานการณ์ รวมถึงดูท่าทีบริษัทแม่ที่จีนหลังจากหาผู้ร่วมทุนได้หลายราย ซึ่งกลับมาทำธุรกิจเชิงรุกได้อีกครั้งเร็วๆ นี้

ในส่วนของบีวายดี ด้านการตลาดไม่น่าห่วงเพราะยอดขายโตต่อเนื่อง และดำเนินธุรกิจชัดเจน เช่น ลงทุนโรงงานบนพื้นที่ขนาดใหญ่ 600 ไร่ ที่ระยอง และเปิดสายการผลิตเป็นทางการวันที่ 4 ก.ค.2567 ปัจจุบันโรงงานมีพนักงาน 6,000 คน

อย่างไรก็ตาม การที่บีวายดีมียอดขายโดดเด่นตลอดตั้งแต่เปิดตัว ปัจจุบันเป็นผู้นำตลาด EV และอันดับ 4 ในตลาดรวม รองจาก โตโยต้า อีซูซุ และ ฮอนด้า โดยมีส่วนแบ่งตลาด 8% ทำให้บีวายดีเป็นผู้ผลิตมีภาระต้องผลิตชดเชยมากสุด 

บีวายดี เตรียมพร้อมส่งออกเดือนกันยายน

แหล่งข่าวจาก บีวายดี กล่าวว่า บีวายดี ต้องผลิตรถชดเชยการนำเข้า 3 หมื่นคัน ซึ่งปี 2567 ผลิตไปบางส่วน และยังเหลือจำนวนที่ต้องผลิตในปีนี้ โดยบีวายดี ระบุว่า หากการผลิตต้องทำตลาดในประเทศทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายแม้ตลาดเติบโตขึ้น

ดังนั้นมาตรการรัฐที่ผ่อนคลาย โดยเฉพาะการส่งออกเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้วางแผนธุรกิจง่ายขึ้น และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเวทีสากล ซึ่งบีวายดีเตรียมร่วมแนวทางนี้เช่นกัน โดยตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจและลงทุนโรงงานที่มีแผนรวม 9 โครงการ 3 หมื่นล้านบาทนั้น บีวายดี กำหนดให้โรงงานในไทยเป็นฐานส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวา

แต่ปัจจุบันต้องเร่งผลิตชดเชยการนำเข้าให้ทันนั้น บีวายดี มองว่าการส่งออกเฉพาะรุ่นพวงมาลัยขวาไม่เพียงพอ ดังนั้นบริษัทแม่ที่จีนจึงปรับแผนเพิ่มการผลิตรุ่นพวงมาลัยซ้ายในโรงงานไทย พร้อมหาตลาดพวงมาลัยซ้ายรองรับการส่งออกจากไทย โดยจะเริ่มต้นส่งออกรถยนต์จากโรงงานระยองตั้งแต่เดือนก.ย.2568 และมั่นใจว่าจะทำให้ผลิตชดเชยได้ทันตามเงื่อนไข EV3.0

“เป็นแนวทางดีเพราะหากส่งออกไม่ได้ การผลิตทั้งหมดต้องมาอัดตลาดในประเทศจะทำให้แข่งขันรุนแรง และโครงสร้างตลาดผิดเพี้ยน” 

มั่นใจไม่มีเหตุการณ์รถมือสอง 0 เหรียญ

ขณะเดียวกันตลาด EV ช่วงนี้เกิดกระแสความกังวลสถานการณ์รถมือสอง 0 เหรียญที่เกิดขึ้นในจีนเพื่อระบายรถใหม่ล้นสต๊อกจะเกิดขึ้นในไทยหรือไม่ ซึ่งหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากเงื่อนไขต่างกัน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไทยกำกับดูแลเข้มงวด และขณะเดียวกันตัวแทนจำหน่ายคงไม่มีใครอยากขาดทุนจากการจำหน่ายในรูปแบบดังกล่าว

และหากมองในมุมการผลิต ซึ่งอาจดูย้อนแย้งว่าผู้ประกอบการต้องเร่งผลิตให้ทันเงื่อนไข แต่ทางปฏิบัติจริงสิ่งที่กังวลมากกว่า คือ การผลิตไม่ทันทำให้ไม่มีรถออกมาใช้ตามแนวทางการขายดังกล่าว

ทั้งนี้การตั้งข้อสังเกตดังกล่าวอาจมาจากก่อนหน้านี้บางแบรนด์มีสต๊อกรถมากแต่ปัจจุบันคลี่คลายแล้ว และการตรวจสอบกับท่าเรือ และพื้นที่ฟรีโซนไม่พบสต๊อกที่ผิดปกติ

แหล่งข่าวจากบริษัทรถยนต์ระบุว่า โอกาสมือสอง 0 เหรียญในไทยเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุผลหลัก คือ 

1.การหาไฟแนนซ์รองรับการขายรูปแบบดังกล่าวเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นขายแบบเงินสดได้ ซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะการซื้อขายในไทย 90% เป็นระบบเงินผ่อน มีเพียง 10% เป็นการซื้อเงินสด

2.การรับประกันสินค้า จะรับประกันในรูปแบบ เงื่อนไขรถใหม่ หรือ เงื่อนไขมือสอง

3.การขายจะอยู่ในช่องทางใด ผ่านโชว์รูมรถใหม่ หรือ แผนกมือสอง หรือเต็นท์รถ

สกัดดัมพ์ราคา EV  ปลดล็อกค่ายรถส่งออก จับขึ้นราคาหลังจบ EV 3.0

“คลัง” หวังป้องกันรถใหม่ล้นตลาด

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การผ่อนปรนมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 จะเพิ่มทางเลือกให้ค่ายรถ และป้องกันซัพพลาย EV ในประเทศมีมากเกินไปจนนำไปสู่การทุบราคาหรือดัมพ์ราคาในตลาด

ขณะนี้ยังไม่มีค่ายรถรายใดแสดงความจำนงขยายเวลาชดเชยการผลิต ซึ่งยังมีเวลาขอเข้าร่วมถึงเดือนธ.ค.2568 โดยนอกจากกรณีค่ายรถยนต์เนต้าแล้ว ยังไม่มีผู้ประกอบการรายอื่นเข้าข่ายมีความเสี่ยงเรื่องนี้

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในฐานะกรรมการ และเลขานุการบอร์ด EV กล่าวว่า การขยายเวลาผลิตชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นลักษณะการถ่ายโอนยอดที่ผลิตไม่ทันจากมาตรการ EV3.0 ไปสู่มาตรการ EV3.5 โดยค่ายรถจะยื่นขอที่กรมสรรพสามิต ซึ่งหลายค่ายกำลังวางแผนเพราะมีเวลาถึงสิ้นปีนี้

ทั้งนี้การปรับปรุงหลักเกณฑ์ของบอร์ดอีวี นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ทั้งการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุน และการขยายเวลาการจดทะเบียนให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริง

รวมยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในการวางแผนธุรกิจ เพื่อเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันไทยให้เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการส่งออกในระดับภูมิภาค และระดับโลกสอดรับกับเป้าหมาย 30@30 โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งด้านความต้องการ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์