แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย ควรทำอย่างไรต่อ

หลัง กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นครั้งที่สามของปีนี้ รายการ PPTV Wealth ขอสัมภาษณ์ผมว่ามีมุมมองอย่างไรเรื่องนี้ รวมทั้งประสิทธิภาพของการลดดอกเบี้ยในการช่วยเศรษฐกิจ
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจากนี้ไปและระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม วันนี้จึงอยากแชร์ความเห็นผมในเรื่องนี้ให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
สำหรับผม การลดดอกเบี้ยสัปดาห์ที่แล้วมีทั้งแปลกใจและไม่แปลกใจ ที่ไม่แปลกใจคือเศรษฐกิจขณะนี้ซบเซามากไม่มีใครปฏิเสธ รัฐบาลและหน่วยงานรัฐก็ดูเงียบไม่มีอะไรออกมา ความหวังจึงมุ่งไปที่แบงก์ชาติอยากให้ กนง. ลดดอกเบี้ย ในแง่เป้าหมายเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อล่าสุดเดือน ก.ค.ที่ ลบ 0.7% ก็ต่ำกว่าเป้ามาก มีเหตุมีผลที่ กนง. จะลดดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรไทยก็โน้มลง ส่งสัญญาณว่าตลาดก็คาดดอกเบี้ยจะลง ที่สำคัญสัญญาณจากแบงก์ชาติเองก็ไปในทางเดียวกัน ดังนั้น การลดดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายคาด หุ้นก็ขึ้นตอบสนองข่าวหลัง กนง. ปรับอัตราดอกเบี้ยลง
ที่แปลกใจคือ สาระในใบแถลงข่าวที่ กนง.บอกว่าเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้าจะขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินเมื่อต้นเดือน ก.ค. ซึ่งในความเป็นจริงปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทยได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ค. ทั้งอัตราภาษีทรัมป์ 19% สถานการณ์ชายแดนที่กระทบความเชื่อมั่นหรือ Sentiment ของคนในประเทศ ทั้งการลงทุน การค้าชายแดน การท่องเที่ยว และความไม่แน่นอนของเสถียรภาพรัฐบาล รวมถึงข้อจำกัดที่นักการเมืองมีในการทำนโยบาย สิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงขาลงที่จะทำให้เศรษฐกิจปีนี้และปีหน้ายิ่งถดถอยมากขึ้น อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะออกมาต่ำกว่าที่ กนง. คิด
อีกประเด็นคือที่ กนง. วิเคราะห์เงินเฟ้อในประเทศว่าเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งส่วนหนึ่งคงใช่เพราะราคานํ้ามันในตลาดโลกและราคาสินค้าเกษตรลดลง ซึ่งกระทบอัตราเงินเฟ้อทุกประเทศ แต่ไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่อัตราเงินเฟ้อติดลบและติดลบต่อเนื่องมาแล้ว 4 เดือน
ประเทศอื่นเช่น สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อัตราเงินเฟ้อปรับลดลง แต่ไม่ติดลบ เงินเฟ้อไทยจึงสะท้อนความอ่อนแอด้านอุปสงค์ที่รุนแรงกว่าประเทศอื่น เพราะอัตราการขยายตัวที่ต่ำต่อเนื่องของเศรษฐกิจ คิดว่า กนง. ไม่ควรมองข้ามประเด็นนี้ เพื่อการทำนโยบายการเงินที่ทันเหตุการณ์
ในแง่ประสิทธิภาพของการลดดอกเบี้ยในการช่วยเศรษฐกิจ คิดว่าคงมีไม่มาก เพราะนี่เป็นการลดครั้งที่ 3 ของปี ในระยะสั้นประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่ว่าธนาคารพาณิชย์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามได้เร็วแค่ไหน ถ้าช้าหรือต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงก่อนแล้วค่อยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมลงตามอย่างที่มักทำกัน ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจก็จะน้อย และประโยชน์จะออกมาในรูปการลดภาระดอกเบี้ยให้กับผู้ที่มีหนี้มากกว่ากระตุ้นให้สินเชื่อขยายตัวเพื่อการฟื้นเศรษฐกิจ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะระบบการเงินเราขณะนี้อยู่ในช่วงการลดหนี้หรือ deleveraging จากที่สินเชื่อขยายตัวมากช่วงก่อนหน้าและเศรษฐกิจก็อ่อนแอต่อเนื่อง ทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น ธนาคารจึงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ การขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบจึงติดลบ คือลดลง ในภาวะเช่นนี้ การแก้ให้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวทำไม่ได้ด้วยการลดดอกเบี้ย แต่ต้องแก้ที่สองเรื่อง 1) ลดความเสี่ยงหรือ Riskของการปล่อยกู้ และ 2) ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพื่อให้เกิดความต้องการสินเชื่อ
การลดความเสี่ยงของการปล่อยกู้ที่เป็นธรรมชาติสุดคือ ลดหรือเคลียร์หนี้เสียออกจากบัญชีหรือระบบธนาคารพาณิชย์ให้มากสุด เมื่อแบงก์มีสัดส่วนหนี้เสียในบัญชีน้อยลง ความพร้อมในการปล่อยสินเชื่อหรือ take risk ของธนาคารพาณิชย์ก็จะกลับมา
ดังนั้น การปรับโครงสร้างหนี้จึงจำเป็นและสำคัญมาก เพื่อลดหนี้เสียในบัญชีแบงก์ ต้องทำอย่างจริงจัง ทำเป็นระบบโดยใช้กลไกตลาดและรัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือเอาเงินหลวงไปอุ้ม เพราะเป็นการกู้ยืมของภาคเอกชน แต่ควรสร้างแรงจูงใจให้แบงก์ปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง และระบบการเงินของเราก็มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสนับสนุนเรื่องนี้อยู่แล้ว
ในส่วนการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว ในสภาพปัจจุบันของเศรษฐกิจ การลดดอกเบี้ยไม่ช่วย ประเด็นที่ต้องทำและเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดคือ ปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตหรือ Productivity เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่จะนำมาสู่โอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ การลงทุน และการขยายตัวของเศรษฐกิจ
แต่ถ้าไม่ทำ การลดดอกเบี้ยก็เหมือนพยายามเติมน้ำมันหรือเหยียบคันเร่งรถยนต์ที่หมดสภาพ ที่เครื่องยนต์และระบบในรถเสียจำเป็นต้องซ่อมใหญ่ แต่ไม่ทำ รถจึงไม่วิ่งหรือไปได้ไม่ไกล หัวใจของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเราอยู่ที่การปฏิรูปเศรษฐกิจ การสร้างงาน และดูแลกลุ่มคนในประเทศที่เปราะบางจริงๆ
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ถ้าพิจารณาจากระดับอัตราดอกเบี้ยแท้จริง คืออัตราดอกเบี้ยนโยบายลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ ระดับอัตราดอกเบี้ยแท้จริงประมาณ 2.0% อย่างในปัจจุบันถือว่ากำลังดี แต่ถ้าเศรษฐกิจชะลอมากหรือเงินเฟ้อติดลบมาก อัตราดอกเบี้ยก็อาจปรับลงได้อีก
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศเรา ประเด็นสำคัญที่ต้องตระหนักในการทำนโยบายเศรษฐกิจคือ ถ้าไม่ปฏิรูปเศรษฐกิจ เอาแต่ลดดอกเบี้ยและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาล ประเทศไทยก็จะเป็นแบบญี่ปุ่น คือลดอัตราดอกเบี้ยลงถึงติดลบ รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจจนหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นกว่า 200% แต่เศรษฐกิจก็ไม่ขยายตัว เพราะไม่ยอมปฏิรูป ต่างกับประเทศจีนกับเกาหลีใต้
จีนปฏิรูปเศรษฐกิจตั้งแต่เข้าร่วมระบบทุนนิยมโลก 40 ปีก่อน และเกาหลีใต้ปฏิรูปเศรษฐกิจและธรรมาภิบาลจริงจังหลังวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียปี 1997 เศรษฐกิจสองประเทศนี้จึงกลายเป็นระดับนำของโลกในปัจจุบัน
ความห่วงใยของผมคือ นักการเมืองในรัฐบาลปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งคนระดับนำของสังคมทั้งในภาคธุรกิจและราชการ ดูเบาเรื่องการปฏิรูป คือไม่สนใจ ผลคือเศรษฐกิจจะยิ่งแย่ลง ความลำบากจะมีมากขึ้น และคนในประเทศทั้งปัจจุบันและอนาคตเสียโอกาส







