7 แบงก์รัฐ พร้อมใจ หั่นดอกเบี้ยเงินกู้ สูงสุด 0.25% มีผลแล้ววันนี้

7 แบงก์รัฐ ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ สูงสุด 0.25% ขานรับมติกนง. บรรเทาภาระต้นทุนทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการ SMEs เกษตรกร ลูกค้ารายย่อย และกลุ่มเปราะบาง
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 7 แห่ง ทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตรากำไรสินเชื่อลง สูงสุด 0.25% ต่อปี ตอบรับมติของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.50% เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2568
โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เกษตรกร ลูกค้ารายย่อย และกลุ่มเปราะบาง พร้อมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ย MRR ลดเหลือ 7.325% ต่อปี, MOR ลดเหลือ 7.20% ต่อปี, และ MLR ลดเหลือ 7.10% ต่อปี การปรับลดครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2568 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้เช่นเดิม
ธอส. MRR อยู่ระดับต่ำสุด
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อย (MRR) 0.25% ต่อปี จาก 6.495% ต่อปี เหลือ 6.245% ต่อปี การลดดอกเบี้ยนี้มีขึ้นเพื่อช่วยลดภาระด้านที่อยู่อาศัยและกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน MRR ของ ธอส. ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐอื่น ส่วนอัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 6.100% ต่อปี และ MOR อยู่ที่ 6.000% ต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาดเช่นกัน
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.25% ต่อปี คงเหลือ 5.60% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด การปรับลดครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ของปี 2568 มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลมอย่างต่อเนื่อง และลดภาระทางการเงินเพื่อให้ SMEs สามารถประคับประคองธุรกิจและเดินหน้าต่อไปได้ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและผลกระทบจากสงครามการค้า
นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ได้แก่ MRR ลดเหลือ 6.295% ต่อปี, MLR ลดเหลือ 6.325% ต่อปี, และ MOR ลดเหลือ 6.095% ต่อปี การปรับลดนี้มีขึ้นเพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและประชาชน รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารทั้ง 3 ประเภทนี้ยังคงต่ำที่สุดในระบบเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ขณะที่ธนาคารยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเดิมไว้
ขณะที่มีสถาบันการเงินที่การปรับลดดอกเบี้ยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค. 2568 ได้แก่ EXIM Bank, ธ.ก.ส. และไอแบงก์
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.10% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบอย่างต่อเนื่อง การปรับลดครั้งนี้เป็นการขานรับนโยบายรัฐบาลเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม SMEs และช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบางจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง นี่เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของปี 2568 ซึ่งตอกย้ำการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดมาโดยตลอด
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อสอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและช่วยบรรเทาภาระหนี้สินให้กับเกษตรกร ลูกค้ารายย่อย และลูกค้ากลุ่มเปราะบาง โดยอัตราดอกเบี้ย MOR คงเหลือ 6.375% ต่อปี, MLR คงเหลือ 6.125% ต่อปี, และ MRR คงเหลือ 6.625% ต่อปี การลดดอกเบี้ยยังช่วยลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาให้กับผู้ประกอบการ SME ภาคการเกษตรด้วย
ดร. ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตรากำไรสินเชื่อ สูงสุด 0.25% เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินและเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้าทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป โดย SPR ลดลง 0.25% เหลือ 7.65% ต่อปี, SPRL อยู่ที่ 7.80% ต่อปี, และ SPRR ลดลงเหลือ 8.05% ต่อปี การปรับลดครั้งนี้เป็นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาภาระทางการเงินให้แก่ลูกค้า
การดำเนินงานร่วมกันของสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลและสนับสนุนภาคเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถฟื้นตัวและดำเนินงานต่อไปได้ในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายรอบด้าน







