ราคาน้ำมันดิบ ตลาดน้ำมันโลก ยังคงทรงตัว ท่ามกลางสงครามเศรษฐกิจโลก

สถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดน้ำมันโลก ยังคงทรงตัวจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ในขณะที่ยังมีปัจจัยกดดันด้านอื่นๆ อาทิ การทบทวนแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของ OPEC+ รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ที่อาจกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ
สถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดน้ำมันโลก ยังคงทรงตัวจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางและแนวโน้ม เศรษฐกิจโลก ชะลอตัว โดย ราคาน้ำมัน Brent ยืนพื้น 66-73 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ ราคาน้ำมัน WTI เคลื่อนไหว 65-69 ดอลลาร์ จากความไม่แน่นอนของนโยบาย OPEC+ ขณะเดียวกัน Fed ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินไตรมาส 4 ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันเดือนสิงหาคม-กันยายน ยังทรงตัวและเคลื่อนไหวในกรอบ 65-75 ดอลลาร์ หากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ไม่คลี่คลาย และความต้องการพลังงานโลกมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนและยุโรป
ทั้งนี้ ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคุกรุ่น ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธฮูตีโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันในทะเลแดง ขณะที่ช่วงกลางเดือนเดียวกัน มีเหตุโจมตีด้วยโดรนที่แหล่งผลิตน้ำมันซาร์ซัง ทางตอนเหนือของอิรัก ส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในภูมิภาคเคอร์ดิสถาน ลดลงถึง 140-150 พันบาร์เรล/วัน จากปริมาณการผลิตรวมที่เคยอยู่ที่ 285 พันบาร์เรล/วัน
ขณะที่ OPEC+ อาจทบทวนแผนเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตเนื่องจาก Summer Driving Season (เทศกาลขับรถท่องเที่ยว) จะจบในไตรมาส 4/2568 ทำให้สมาชิกบางราย โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียชะลอเพิ่มกำลังผลิต จึงต้องจับตาดู การประชุม OPEC+ ช่วงปลายเดือนสิงหาคมอีกครั้ง ซึ่งอาจมีผลต่อ ราคาน้ำมัน ช่วงที่เหลือของปี
นอกจากนี้ ประเด็นสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย หลังหลายประเทศ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ รวมถึงสหภาพยุโรปสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าเบื้องต้นกับสหรัฐได้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของโลกมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐ ส่งสัญญาณว่ามาตรการกำแพงภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลกจะไม่ต่ำกว่า 15%
ในขณะเดียวกัน มีสัญญาณผ่อนคลายด้านการเงินจาก สหรัฐ แม้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คงอัตราดอกเบี้ย 4.25-4.50% และคาดว่าสามารถปรับลดดอกเบี้ยได้เร็วสุด ในเดือนกันยายนหากเงินเฟ้อและตลาดแรงงานยังชะลอตัว อาจเป็นแรงหนุนต่อความต้องการใช้พลังงานไตรมาส 4/2568
ส่วนปัจจัยสำคัญอื่นที่มีผลกระทบ ได้แก่ เศรษฐกิจจีน และสหรัฐยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับความตึงเครียดด้านนโยบายการค้า 2 ประเทศ อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนพลังงานหลายประเทศ ขณะเดียวกันมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ยังสร้างแรงกดดันและเพิ่มความไม่แน่นอนฝั่งการผลิต โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซจากแหล่งผลิตรัสเซีย







