PCB แสนล้านไหลเข้าไทย โอกาสทองฮับโลก ติดปัญหาใหญ่ 'ขาดคน-ไร้นโยบายรัฐหนุน'

อิเล็กทรอนิกส์ไทยบูม! ผู้ผลิตย้ายฐานลงทุน PCB แสนล้าน ชี้โอกาสทองสู่ฮับโลก แต่ขาดบุคลากร-นโยบายรัฐที่ชัดเจน
KEY
POINTS
- ผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) รายใหญ่จากจีนและไต้หวันกว่า 50 บริษัท ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทาน
- การย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่นี้เป็นโอกาสให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต PCB ของโลก โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะเติบโตขึ้น 3 เท่า จาก 60,000 ล้านบาท เป็น 200,000-300,000 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญอย่างหนัก เนื่องจากเป็นสาขาที่ไม่ได้รับความนิยมในอดีต ทำให้ต้องเร่งสร้างบุคลากรผ่านความร่วมมือกับภาครัฐ
- ภาครัฐยังขาดนโยบายสนับสนุนที่สำคัญในหลายด้าน เช่น นโยบายพลังงานสะอาดที่ยังไม่มีระบบ Smart Grid รองรับ, การส่งเสริมให้เกิดห่วงโซ่อุปทานในประเทศ (Local Supply Chain) และการแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี
การย้ายฐานการผลิต PCB ครั้งใหญ่จากจีนและไต้หวันมายังประเทศไทยด้วยเงินลงทุนมหาศาล สะท้อนให้เห็นว่าไทยกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญในระดับโลก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข้อท้าทายสำคัญที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาบุคลากร และนโยบายที่สนับสนุนพลังงานสะอาดและห่วงโซ่อุปทานในประเทศ
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการ "แนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออกเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน" เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568
นายเสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแผงวงจรพิมพ์ไทย (PCB) เสวนาหัวข้อ "ศักยภาพการส่งออกของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย" ถึงสถานการณ์และโอกาสของอุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board: PCB) ของไทยว่า อุตสาหกรรม PCB เป็นหัวใจสำคัญ ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
"PCB ถือเป็นเทคโนโลยีที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวันตั้งแต่หม้อหุงข้าวไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเอนด์ต่างๆ โดยในอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์มีบทบาทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทุกๆ ปี ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย"
จากปัจจัยความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้ผลิต PCB รายใหญ่จากจีนและไต้หวันเริ่มย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเทศไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของการลงทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีผู้ผลิตกว่า 50 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทชั้นนำของโลก ได้เข้ามาลงทุนในไทยด้วยมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรม PCB ของไทยจะเติบโตขึ้นจาก 60,000 ล้านบาท เป็น 200,000-300,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
"การย้ายฐานการผลิตนี้ไม่ได้มาจากปัจจัยด้านภาษีสหรัฐเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความเสี่ยงในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าหรือปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งบริษัทต่างๆ ต้องการกระจายความเสี่ยงและหาฐานการผลิตที่มั่นคง โดยมองว่าประเทศไทยเป็น "ที่หลบพายุที่ดีที่สุด" ในอีก 10 ปีข้างหน้า"
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสการลงทุนมหาศาล แต่ความท้าทายที่สำคัญที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข คือ
1. บุคลากร โดยอุตสาหกรรม PCB ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก เนื่องจากเป็นสาขาที่ไม่ได้รับความนิยมในอดีต ทางสมาคมจึงได้ร่วมมือกับกระทรวงอว.เพื่อจัดตั้งศูนย์ต้นแบบ (Prototype Shop) สำหรับฝึกอบรมบุคลากร เพราะการเรียนรู้ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
2. นโยบายพลังงานสะอาด ผู้ผลิตระดับโลกต่างให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และมีเป้าหมายที่จะใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต แต่ประเทศไทยยังไม่มีระบบ Smart Grid ที่สามารถตรวจสอบและรับรองได้ว่าไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานมีสัดส่วนของพลังงานสะอาดเท่าไหร่ ทำให้ผู้ผลิตต้องดิ้นรนหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
3. นโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง แม้จะมีผู้ผลิต PCB ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย แต่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังคงส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมให้เกิด Local Supply Chain และสนับสนุนการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนภายในประเทศ
4. อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ปัจจัยที่ไม่ใช่ภาษี เช่น กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ (CoA) และโครงสร้างผู้ถือหุ้น เป็นอุปสรรคที่แก้ไขได้ยากและซับซ้อน รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญและแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลบาลานซ์นโยบายกับประเทศทั่วโลก และใช้โอกาสนี้ในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเน้นการดึงดูดผู้ประกอบการไทยให้เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมให้วิชาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STEM) เป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีคุณภาพเพียงพอต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต







