ส่องข้อจำกัดรัฐบาลจัดเก็บรายได้ ฐานภาษีแคบ-พึ่งพาการบริโภค

ไทยเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี ฐานภาษีแคบและพึ่งพาภาษีจากการบริโภคเป็นหลัก รายได้รัฐเติบโตจำกัด กระจุกตัวในไม่กี่ประเภท ความเสี่ยงด้านการคลัง
KEY
POINTS
- โครงสร้างรายได้ของรัฐบาลไทยมีข้อจำกัดด้านฐานภาษีที่แคบและพึ่งพิงภาษีหลักเพียงไม่กี่ประเภท โดยกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานจัดเก็บรายได้หลัก
- การจัดเก็บรายได้ของรัฐพึ่งพาภาษีทางอ้อมหรือภาษีจากการบริโภค (สัดส่วน 51.69%) มากกว่าภาษีทางตรง (สัดส่วน 36.36%)
- การพึ่งพาภาษีจากการบริโภคเป็นหลักอาจส่งผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เนื่องจากมีลักษณะถดถอยที่ผู้มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระสูงกว่า
- แม้มีข้อจำกัด แต่รายได้รัฐบาลมีแนวโน้มฟื้นตัวและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การบริโภค และการท่องเที่ยว
ประเทศไทยมีข้อจำกัดเรื่องของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยใช้งบประมาณขาดดุลมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปีงบประมาณ โดยสาเหตุของการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง นอกจากภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังมีข้อจำกัดของรัฐบาลในการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้จากภาษี
เมื่อเร็วๆนี้สำนักงบประมาณของรัฐสภา ได้จัดทำข้อมูลการวิเคราะห์งบประมาณรายจ่ายของประเทศไทย ซึ่งพบปัญหาเชิงโครงสร้างรายได้ของรัฐบาลประการสำคัญคือ โครงสร้างภาษีของไทยสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของระบบการจัดเก็บรายได้ของประเทศที่มีความซับซ้อน และพึ่งพาฐานภาษีหลักเพียงไม่กี่ประเภท
โดยรายได้รวมทั้งหมดของภาครัฐ ในช่วง 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2568) คือประมาณ 16.28 ล้านล้านบาท โดยกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานหลัก ในการจัดเก็บรายได้ คิดเป็น 67.58% ของรายได้ทั้งหมด
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาตามประเภทของรายได้พบว่า ภาษีทางอ้อมมีสัดส่วนที่สูงกว่าภาษีทางตรง โดยภาษีทางอ้อมที่จัดเก็บได้นั้นมีสัดส่วน 51.69% ขณะที่ภาษีทางตรงที่จัดเก็บได้คิดเป็น 36.36% ตามลำดับ ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ภาษีมีสัดส่วน 11.95% ของรายได้ทั้งหมด
ลักษณะโครงสร้างรายได้ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าระบบการจัดเก็บรายได้ของไทยยังคงพึ่งพาภาษี การบริโภคเป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในระยะยาว เนื่องจากภาษีทางอ้อมมีลักษณะ ถดถอย (Regressive) ทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับรายได้
นอกจากนั้น PBO ยังวิเคราะห์ด้วยว่า แนวโน้มรายได้ของรัฐบาล รายได้ของรัฐบาลมีแนวโน้มฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นหลังการระบาดของ COVID-19 โดยรัฐบาลมีรายได้สุทธิหลังหักจัดสรรเท่ากับ 2.80 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.91% จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
โดยมีปัจจัยหนุนการเพิ่มขึ้นมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การบริโภคภายในประเทศ ที่กระเตื้องขึ้น และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวซึ่งช่วยเพิ่มฐานภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ธุรกิจตามแผนการคลัง ระยะปานกลาง รายได้รัฐบาลสุทธิมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.89 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็น 3.39 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2572
ทั้งนี้จากแบบจำลองของ PBO ที่ได้คำนวณเกี่ยวกับรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม รายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคล และรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้มีความเป็นปัจจุบัน ซึ่งสามารถพยากรณ์การจัดเก็บรายได้ด้วยการใช้สมมติฐานทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2569 เทียบกับปีงบประมาณ 2567
พบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 947,320.2 ล้านบาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 783,385.9 ล้านบาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำนวน 415,424.5 ล้านบาท
สำหรับประมาณการปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คาดว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 974,917.6 ล้านบาท ภาษีเงินได้นิติบุคคล 794,241.6 ล้านบาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 427,181.5 ล้านบาท
และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ประมาณการว่าจะจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 994,733.2 ล้านบาท ภาษีเงินได้นิติบุคคล 816,215.3 ล้านบาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 436,895.0 ล้านบาท







