ภาษีทรัมป์7ส.ค.ฉุดการค้าโลกปี69 ‘ดับเบิลยูทีโอ’เล็งสกัดมาตรการโต้ตอบ

เมื่อ 7 ส.ค. 2568 ที่ผ่านคือ กำหนดเวลาที่มาตรการภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff มีผลบังคับใช้จริง กับหลายๆประเทศรวมถึงไทยที่ได้ข้อสรุปการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐแล้ว
เมื่อ 8 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมาเช่นกัน องค์การการค้าโลก หรือ WTO ได้เผยแพร่รายงานคาดการณ์การค้าโลก จัดทำโดยนักเศรษฐศาสตร์ของ WTO สาระสำคัญชี้ว่า ผลของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกมากนักในปี 2568นี้ เนื่องจากการเลื่อนกำหนดการใช้จริงและการเร่งนำเข้าเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการดังกล่าวทำให้ คาดการณ์อัตราเติบโตการค้าโลกของปี 2568อยู่ที่ 0.9% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ว่าการค้าโลกจะติดลบที่ 0.2%
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของภาษีศุลกากรที่มีอัตราสูงจะทำให้การค้าในระยะยาวได้รับผลกระทบ เหล่านักเศรษฐศาสตร์ WTO จึงคาดการณ์ว่า การค้าโลกในปี 2569 จะลดลงเหลือ 1.8% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 2.5%
“การนำเข้าสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการขึ้นภาษีศุลกากร ทำให้ประมาณการการค้าของปี 2568 เพิ่มขึ้น แต่หลังจากการที่อัตราภาษีมีผลบังคับใช้ คาดกว่า ช่วงหลังปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 การค้าโลกจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์” รายงานระบุ
ดร. เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวอาลา เป็นผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวว่า การค้าโลกแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการรับมือกับผลกระทบต่างๆ รวมถึงการขึ้นภาษีศุลกากรเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นและภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ปรับตัวดีขึ้นได้ช่วยยกระดับให้การคาดการณ์ปี 2568 ดีขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทั้งหมดจากมาตรการภาษีศุลกากรล่าสุดยังคงปรากฏให้เห็น ในรูปของเงาแห่งความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากรซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งความไม่แน่นอนนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อกวนนิเวศการค้าโลกมากที่สุด
“สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงวงจรการตอบโต้ตอบโต้กันไปมา ที่อาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อการค้าโลก ดังนั้นสำนักเลขาธิการ WTO จะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงการดำเนินงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรนี้”
WTO จะจับตามาตรการทางภาษีต่อสัดส่วนการค้าโลกที่ดำเนินการภายใต้หลักการชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (MFN) และจะยังคงทำงานร่วมกับสมาชิกเพื่อรักษาเสถียรภาพและระเบียบที่คาดการณ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการค้าโลก
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ WTO มองว่า เศรษฐกิจเอเชียจะยังคงเป็นปัจจัยหลักการขับเคลื่อนเชิงบวกที่สำคัญที่สุดต่อการเติบโตของปริมาณการค้าสินค้าโลกในปี 2568 แต่ในปี 2569 จะมีบทบาทน้อยลง
ส่วนอเมริกาเหนือเดิมประเมินว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการค้าโลกในปี 2568 แต่จากปรากฎการณ์โหมนำเข้าสินค้าในตลาดสหรัฐทำให้ผลกระทบเชิงลบที่ว่านั้นมีสัดส่วนที่น้อยลงไปกว่าที่คา แต่ในปี 2569 ต่างหากจะสะท้อนผลกระทบในเชิงลบที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน สัดส่วนของยุโรปต่อการค้าในปี 2568 เดิมทีคาดกว่าจะลดลงในระดับปานกลางแต่พอเอาเข้าจริงกลับลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้านภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงเศรษฐกิจหรือประเทศที่ส่งออกพลังงานเป็นหลัก ก็พบว่ามีผลต่อการเติบโตของการค้าโลกลดลงในช่วงปี 2568-2369 เนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ลดลงรวมไปถึงความต้องการนำเข้าน้ำมันที่ลดลงด้วย
"สรุปแนวโน้มการค้าปัจจุบันแยกตามภูมิภาค คาดว่าการนำเข้าของอเมริกาเหนือจะลดลง 8.3% ในปี 2568 ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัว 9.6% เมื่อเม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนการส่งออกของเอเชียที่เพิ่มขึ้น 4.9% ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากเดิมคาดว่าจะเติบโตเพียง 1.6% ขณะที่การเติบโตของการส่งออกและนำเข้าของยุโรปในปีนี้ที่ ติดลบ 0.9% และ 0.4% ตามลำดับนั้น กลับอ่อนตัวลงเล็กน้อยกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ในเดือนเม.ย.
รายงานยังระบุอีกว่า การคาดการณ์การหดตัวของการค้าที่ 0.2% ในปี 2568 ที่คาดการณ์ไว้เมื่อ เม.ย. ซึ่งอ้างอิงจากมาตรการที่บังคับใช้ในขณะนั้น (14 เม.ย.) ,การระงับภาษีศุลกากรแบบ “ตอบโต้” ,ปัจจัยข้อตกลงที่ตามมาระหว่างสหรัฐ กับจีนและสหราชอาณาจักร ทำให้การคาดการณ์สำหรับปี2568 เพิ่มขึ้นเป็น 0.3% แต่อีกด้านหนึ่งก็พบว่าปัจจัย ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นสำหรับเหล็กและอลูมิเนียมกลับทำให้การคาดการณ์ต้องลดลงเหลือ 0.1%ในปี 2568
สำหรับภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ส.ค. จะส่งผลกระทบต่อการค้ามากขึ้น แต่ผลกระทบเชิงบวกจากการนำเข้าสินค้าล่วงหน้าและการสะสมสินค้าคงคลัง คือปัจจัยบวกที่หนุนให้เศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัวขึ้นแม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนสูงก็ตาม
หากมองไปในอนาคต จะพบว่า องค์ประกอบของการคาดการณ์ที่ปรับปรุงใหม่ระหว่างกาล ต่อการเติบโตของการค้าสินค้าในปี 2568 ได้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 0.9% ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยบวกสองประการและปัจจัยลบหนึ่งประการ
ในส่วนปัจจัยบวกได้แก่ ประการแรก ปริมาณการนำเข้าของสหรัฐ พุ่งสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากการนำเข้าสินค้าล่วงหน้าและการสะสมสินค้าคงคลัง การเพิ่มขึ้นนี้รวมถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 14% ในไตรมาสที่ 1 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส และลดลง 16% ในไตรมาสที่ 2
“การเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าในช่วงไตรมาสที่ 1 น่าจะส่งผลให้ความต้องการนำเข้าลดลงในอนาคต คาดว่าการปรับฐานนี้จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แต่บางส่วนจะเกิดขึ้นเฉพาะในปี 2569 และปีต่อๆ ไป”
ดังนั้น ปัจจัยนี้จะช่วยเพิ่มแนวโน้มการค้าในปี 2568 ชั่วคราว ปัจจัยการปรับฐานนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการคาดการณ์ที่ปรับปรุงใหม่ สิ่งที่ควรสังเกตคือ รูปแบบที่คล้ายคลึงกันนี้ แม้จะรุนแรงน้อยกว่า ก็สามารถเห็นได้ในการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการตอบโต้
ประการที่สอง แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกในขณะนี้ดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดการณ์ไว้ในเดือนเม.ย. ปัจจัยหนึ่งคือการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาภาวะทางการเงินของประเทศกำลังพัฒนาได้ ราคาน้ำมันที่ลดลงน่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจภาคการผลิต แม้ว่าในขณะเดียวกันอาจส่งผลให้ความต้องการนำเข้าในภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันลดลงก็ตาม
ส่วนปัจจับลบ คือ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรล่าสุดจะส่งผลกระทบเชิงลบ แม้จะมีการสงบศึกระหว่างสหรัฐและจีนและการยกเว้นภาษียานยนต์มีส่วนช่วยในเชิงบวก ในทางกลับกัน อัตราภาษีศุลกากรแบบ “ตอบโต้” ที่สูงขึ้นซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 ส.ค. คาดว่าจะส่งผลกระทบมากขึ้นต่อการนำเข้าของสหรัฐ และกดดันการส่งออกของคู่ค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปี 2569







