‘จุลพันธ์’ แจงแผนงบฯ 69 พร้อมรับวิกฤติ เตรียม ‘กระสุนการคลัง’ เพียงพอ

‘จุลพันธ์’ แจงแผนงบฯ 69 พร้อมรับวิกฤติ เตรียม ‘กระสุนการคลัง’ เพียงพอ

“จุลพันธ์“ แจงงบประมาณรายจ่ายปี 69 ยืนยันรัฐบาลมีกระสุนเพียงพอ รับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ทั้งเงินคงคลังและกลไกตามกฎหมาย เผยแผนลดการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่เป้างบประมาณสมดุลระยะยาว

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ยืนยันว่า รัฐบาลได้จัดทำงบประมาณอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฐานะการคลัง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุว่ารัฐบาลมี กระสุนเพียงพอที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคตได้

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า งบประมาณปี 2569 ถูกจัดทำขึ้นภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวและยังต้องรับมือกับการกีดกันทางการค้าจากประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลทราบดีถึงความเสี่ยงเหล่านี้ แต่ยืนยันว่ากระทรวงการคลังมีศักยภาพเพียงพอในการบริหารจัดการรายได้ และมีกลไกด้านงบประมาณที่พร้อมรองรับ ไม่ว่าจะเป็นเงินคงคลังในระดับสูง เงินทดรองฉุกเฉินอีก 50,000 ล้านบาท รวมถึงกลไกทางกฎหมายอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ รวมถึงการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณการโอนเปลี่ยนแปลงการแก้ไขงบประมาณ ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องเป็นอำนาจของสภาฯ

“ทั้งหมดนี้ ขอยืนยันว่าด้วยกระสุนทั้งหมด ด้วยกลไกทั้งหมดที่มีนั้น มีมากเพียงพอที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศ และขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต” นายจุลพันธ์ ระบุ

ส่วนเรื่องข้อห่วงใยต่อ GDP ปีนี้ที่อาจกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่า กระทรวงการคลังมีศักยภาพเพียงพอที่จะบริหารจัดการการจัดเก็บรายได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณในอนาคต

“เรื่องปัญหาการจัดเก็บรายได้ แม้ขณะนี้จะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่เราเชื่อว่า จะสามารถบริหารจัดการให้ลุล่วงไปได้ ไม่มีผลกระทบใดๆ”

นอกจากนี้ นายจุลพันธ์ กล่าวถึง ความสำคัญของการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยระบุว่าหากมีการปรับลดงบประมาณลง จะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและทำลายความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในการลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐบาลจึงตั้งงบประมาณรายจ่ายตามจำนวนที่กำหนดไว้ เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต

ในส่วนของความกังวลเรื่องการเพิ่มพื้นที่การคลัง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน ภาครัฐมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณแบบขาดดุลเพื่อลงทุนพัฒนาประเทศ และการลงทุนที่มีประสิทธิภาพจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถชำระหนี้ได้มากขึ้น ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง

โดยภาครัฐมีแนวทางเสริมเศรษฐกิจภาคการคลัง เช่น การปรับปรุงระบบภาษีให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม, การส่งเสริมการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน, การบริหารทรัพย์สินของรัฐให้เกิดรายได้, การลดรายจ่ายผ่านการจัดลำดับความสำคัญ, การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย และการบริหารหนี้สาธารณะในระยะยาวอย่างเป็นระบบ โดยในปีงบ 69 มีการลดลงของรายจ่ายประจำอย่างมีนัยสำคัญถึง 25,794 ล้านบาท คิดเป็น 1% ของงบประมาณรายจ่ายปี 69

ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางแผนการคลังระยะปานกลางสำหรับปี 2569-2572 โดยมีเป้าหมายที่จะ ลดการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่การมีงบประมาณสมดุลในระยะยาว ซึ่งจะเห็นได้จากตัวเลขวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลที่ลดลงในแต่ละปี ดังนี้

  • ปี 2569 ขาดดุล 860,000 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ต่อ GDP
  • ปี 2570 ขาดดุล 758,600 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% ต่อ GDP
  • ปี 2571 ขาดดุล 721,900 ล้านบาท คิดเป็น 3.3% ต่อ GDP
  • ปี 2572 ขาดดุล 703,300 ล้านบาท คิดเป็น 3.1% ต่อ GDP

"ตัวเลขดังกล่าว สะท้อนว่ารัฐบาลมีความจริงใจและตั้งใจลดระดับการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ ก็จะเอื้อต่อการเสริมฐานะทางการคลัง ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย การบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลในอนาคต" นายจุลพันธ์กล่าว