‘พาณิชย์’ หั่นเป้าค้าชายแดนกัมพูชาลง 1%จับตากระแสต่อต้านสินค้าไทย

กรมการค้าต่างประเทศ เผย ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา มิ.ย.ฉุดการค้าชายแดนลบ 23.3% มูลค่า 10,908 ล้านบาท ชี้ยอดรวม 6 เดือนแรกปีนี้ ยังเพิ่ม มูลค่ารวม 95,147 ล้านบาท ลดเป้าค้าชายแดนลง 1% จับตากระแสต่อต้านสินค้าไทยในโลกออนไลน์ ผ่านอินฟลูฯ เร่งช่วยผู้ประกอบการหาช่องทางจำหน่ายสินค้า ซอฟโลน จัดมหกรรมสินค้าชายแดน
การค้าระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา เดือน มิ.ย.2568 มีมูลค่า 28,723 ล้านบาท ลดลง 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออกไปกัมพูชามูลค่า 25,595 ล้านบาท ติดลบ 11.2% สินค้าส่งออกสำคัญที่ลดลง ได้แก่ น้ำมันดีเซล ติดลบ 7.4% และน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ ติดลบ 33.3% จากการที่กัมพูชาประกาศงดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากไทย
ส่วนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาเดือน มิ.ย.2568 มีมูลค่า 10,908 ล้านบาท ติดลบ 23.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออกไปกัมพูชามูลค่า 8,961 ล้านบาท ติดลบ 23.8% สินค้าส่งออกสำคัญที่ลดลง ได้แก่ เครื่องดื่มอื่นๆ เช่น นมยูเอชที นมถั่วเหลือง ติดลบ 23.6% น้ำแร่น้ำอัดลมที่ปรุงรส เช่น เครื่องดื่มชู กำลัง น้ำอัดลม ติดลบ 24.5% ครีมเทียม ติดลบ 17.9%
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรอื่นๆ เช่น กาแฟที่ผสมได้ทันที ติดลบ 25.6% ซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนที่เข้มข้นช่วงเดือน มิ.ย.2568
สำหรับภาพรวมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมูลค่าผ่านแดนกัมพูชาไปประเทศอื่น เช่น เวียดนาม จีนตอนใต้ ช่วง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2568 มูลค่าการค้ารวมยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมีมูลค่า 95,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.60% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 67 เป็นไทยส่งออก 72,447 ล้านบาท เพิ่ม 3.33% และไทยนำเข้า 22,699 ล้านบาท เพิ่ม 13.52% รวมไทยได้ดุลการค้า 49,748 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายด่านการค้าสำคัญ แบ่งได้ดังนี้
1.ด่านอรัญประเทศ มีมูลค่า รวม 60,432 ล้านบาท เป็นส่งออก 43,829 ล้านบาท และนำเข้า 16,603 ล้านบาท
2.ด่านคลองใหญ่ มูลค่า 15,677 ล้านบาท เป็นส่งออก 13,786 ล้านบาท และนำเข้า 1,891 ล้านบาท
3.ด่านจันทบุรี มูลค่า 14,696 ล้านบาท เป็นส่งออก 13,201 ล้านบาท และนำเข้า 1,495 ล้านบาท
4.ด่านช่องจอม 3,440 ล้านบาท เป็นส่งออก 1,204 ล้านบาท และนำเข้า 2,236 ล้านบาท
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องดื่มอื่นๆ, น้ำแร่ น้ำอัดลมที่ปรุงรส, เครื่องยนต์สันดาปภายใน ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้า เช่น ผักและของปรุงแต่งจากผัก, เศษของอะลูมิเนียม, ลวดและสายเคเบิลที่หุ้มฉนวน
ลดเป้าการค้าชายแดนลง1%
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ประเมินมูลค่าการค้าชายแดน และผ่านแดนไทย-กัมพูชา อาจลดลงหลังจากการปะทะกัน และอาจทำให้มูลค่าการค้าชายแดน และผ่านแดนของไทยปี 2568 ลดลง 1% จากเป้าหมายที่คาดขยายตัว 3% หรือขยายตัว 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนและการสู้รบชายแดนแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ
1.มาตรการห้ามนำเข้าสินค้าของกัมพูชาและการปรับตัวของผู้ประกอบการ โดยกัมพูชาห้ามนำเข้าสินค้าจากไทยเพียง 4 ประเภท ได้แก่ น้ำมัน, แก๊ส, ผัก และผลไม้ (ตามประกาศ กรมศุลกากรกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 68)
ขณะที่สินค้าอื่นนำเข้าได้ปกติผ่านทั้งทางเรือ (ท่าเรือแหลมฉบัง/ท่าเรือกรุงเทพฯ - ท่าเรือสีหนุวิลล์) และทางรถผ่าน สปป.ลาว หรือเวียดนาม ซึ่งผู้ประกอบการหันมาใช้เส้นทางทางเรือมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าไทยส่วนใหญ่กลับมาวางขายในกัมพูชาได้ตามปกติแล้ว เช่น นมเมจิ นมดัชมิลล์
ทั้งนี้ สายเรือที่ให้บริการขนส่งสินค้าไปกัมพูชายังมีเพียงพอ โดยดูได้จากค่าระวางเรือปัจจุบันเริ่มคงที่หลังจากที่ปรับสูงขึ้น 20-30% ในช่วงก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นถึงความต้องการ (demand) และผู้ให้บริการ (supply) ที่เริ่มสมดุล 2.2 กระแสต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชา
จับตากระแสต้านสินค้าไทย
2.ปัจจุบันเริ่มมีกระแสต่อต้านสินค้าไทยในโลกออนไลน์ นำโดย Influencer บางกลุ่มที่รณรงค์ให้บริโภคสินค้าภายในประเทศ รวมถึงช่วงวันที่ 2-3 ส.ค.2568 มีการเดินขบวนในกรุงพนมเปญเพื่อเรียกร้องสันติภาพ
ทั้งนี้ กระแสดังกล่าวเชื่อมโยงไปสู่การต่อต้านสินค้าไทยทำให้ห้างสรรพสินค้าและบริการของไทย เช่น Makro, 7-Eleven และ Major Cineplex ได้รับผลกระทบมีลูกค้าลดน้อยลง
นอกจากนี้เจ้าของแฟรนไชส์ PTT Station บางส่วนได้รวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแบรนด์เป็นแบรนด์ ท้องถิ่น ในชื่อ Peace แต่ยังคงเป็นเพียงภาพกราฟิก และการยกเลิกสัญญาแฟรนไชส์ยังต้องใช้เวลาเพราะต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย
เร่งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
นางอารดา กล่าวว่า มาตรการเยียวยาลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดหาช่องทางการจำหน่ายสินค้า โดยจัดหาพื้นที่และเปิดจุดจำหน่ายสินค้าและนำผู้ประกอบการไปร่วมงานแสดงและจำหน่ายสินค้า งานธงฟ้าราคาประหยัด และนำสินค้าไปวางจำหน่ายในห้างค้า ส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ตลอดจนเชื่อมโยงผลิตผลทางการเกษตรโดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาลไปจำหน่ายนอกพื้นที่
รวมทั้งการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยสำรวจความต้องการสินเชื่อและประสานสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารออมสิน และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ ธพว. (SME D Bank)
ขณะนี้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนสินเชื่อแล้วและส่วนหนึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสถาบันการเงิน และการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดน โดยนำผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบไปร่วมออกงานแสดงและจำหน่ายสินค้า และเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศแบบไม่มีค่าใช้จ่าย
รวมทั้งมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ โดยเสริมทักษะที่จำเป็นในด้านการตลาดและการสร้าง มูลค่าเพิ่มสินค้า เช่น การค้าออนไลน์ การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม เทคโนโลยี และอัตลักษณ์ท้องถิ่น
“ตั้งแต่เดือน ก.ย.2568 กรมการค้าต่างประเทศมีแผนลงพื้นที่ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคการค้าการลงทุนชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และมีแผนการจัดมหกรรมการค้าชายแดนต่อเนื่องอีก 6 ครั้ง เพื่อส่งเสริมและผลักดันมูลค่าการค้าชายแดนผ่านแดนให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง”นางอารดา กล่าว







