ว่าที่เสือตัวที่ 5 สู่คนป่วยแห่งเอเชีย แรงบีบปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย

“ส.อ.ท.” ชี้ไทย “คนป่วยแห่งเอเชีย GDP โตต่ำที่สุดในอาเซียน เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีไม่เกิน 2% ต้องแก้ไขด่วน จี้รัฐยกเครื่องโครงสร้างประเทศ-แก้หนี้ครัวเรือน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน พร้อมหาตลาดใหม่ ระบุ ภาษีสหรัฐ ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
KEY
POINTS
- การปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี (Digital Disruption) ซึ่งกระทบอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่พึ่งพาการผลิตแบบ OEM ทำให้สินค้าหลักถูกทดแทนด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า
- ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
- การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ทำให้ขาดแคลนแรงงานวัยทำงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข
- การติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางมานานกว่า 30 ปี เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) เป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถก้าวไปสู่ประเทศรายได้สูงได้
- ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 90% ของ GDP ทำให้กำลังซื้อของประชาชนหายไป และเป็นอุปสรรคต่อการปรับขึ้นค่าแรง
เศรษฐกิจไทยที่เคยถูกจับตามองในฐานะ “ว่าที่เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย” นั้น กำลังเผชิญกับภาวะถดถอยจนกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน โดยมี GDP เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีไม่เกิน 2% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพและทำให้ไทยกลายเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ธนาคารโลกจัดให้ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลางระดับต่ำ (รายได้ต่อหัวเกิน 1,036 ดอลลาร์) เมื่อปี 2531 พร้อมความคาดหวังของไทยที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียต่อจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวันและสิงคโปร์ เพื่อเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ แต่ไทยไปไม่ถึงเมื่อต้องเผชิญวิกฤติการเมืองและวิกฤติเศรษฐกิจในทศวรรษ 1990
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมามีปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจและภาคการผลิตของไทย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการสินค้าของตลาดโลก
ทั้งนี้ มีหลายสาเหตุหลักที่ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจจากว่าที่เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย มาเป็นคนป่วยของเอเชียในปัจจุบัน ได้แก่
1. การปรับตัวที่ไม่ทันต่อโลก ที่ไทยไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) ซึ่งกระทบอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่พึ่งพาการผลิตแบบ OEM (รับจ้างผลิต) ทำให้สินค้าหลักถูกทดแทนด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาป ทำให้ชิ้นส่วนยานยนต์หลายหมื่นชิ้นที่ไทยผลิตอยู่ต้องหายไป
2. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ด้วยภาคแรงงานที่มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งมีค่าแรงและค่าพลังงานที่ถูกกว่า
3. สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จากการที่ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ขาดแคลนแรงงานวัยทำงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น
4. ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง จากการที่ไทยยังคงเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางมานานกว่า 30 ปี และไม่ขยับไปไหนเลยเพราะไทยเป็นประเทศ OEM
ดังนั้น วันนี้ สิ่งที่จะต้องไปถึงประเทศที่มีรายได้สูง คือประมาณ 13,925 ดอลลาร์สต่อหอต่อปี (ประมาณ 490,000 บาทต่อหัวต่อปี) ปัจจุบันรายได้ของคนไทยดีขึ้นจากกว่า 5,000 ดอลลาร์ และอยู่ที่กว่า 6,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 250,000 บาทต่อหัวต่อปี) ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายประเทศรายได้สูงอยู่
5. ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งของคนไทยสูงถึงกว่า 90% ของ GDP และรวมหนี้นอกระบบแล้วสูงถึง 104% ทำให้กำลังซื้อของประชาชนหายไปอย่างสิ้นเชิง และยังเป็นอุปสรรคต่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
นายเกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ดังนี้
1. เปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม จากการที่ไทยเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เคยผลิตแบบ OEM จะต้องปรับตัวไปสู่ ODM (รับจ้างผลิตพร้อมออกแบบ) และพัฒนาแบรนด์ของตนเองเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมกับนำเทคโนโลยี Automation และ AI เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
2. มุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยรัฐบาลต้องสนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ที่เป็นจุดแข็งของประเทศอย่างจริงจัง เช่น อุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งรวมถึงการนำความหลากหลายทางชีวภาพมาต่อยอดเป็นสินค้ามูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และโอกาสใหม่ๆ
3. ปฏิรูปกฎหมายและระบบราชการ โดยเร่งรื้อถอนกฎหมายที่ล้าสมัยกว่าแสนฉบับ เพื่อลดต้นทุนแฝงและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ
4. แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ รัฐบาลควรหามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ หรือมาตรการ Haircut หนี้ พร้อมกับการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและลดสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ได้อย่างยั่งยืน
“หากเราไม่เร่งปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ประเทศไทยจะกลายเป็นผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านแทนที่จะเป็นผู้ผลิต และอุตสาหกรรมไทยจะไม่เหลืออะไร” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ จากการหารือคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้เสนอมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในระยะถัดไป อาทิ การปรับเปลี่ยนคู่ค้า และ Supply Chain โลก แบ่งเป็น
1. หาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา ที่เป็นตลาดใหญ่ และตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อสูง
2. เร่งเจรจา FTA กับตลาดอื่นๆ เช่น ไทย-EU เพื่อสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทย
3. เสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อเอื้อต่อการใช้ Local Content ลดความเสี่ยงภาษี Transshipment และเป็นปัจจัยสำคัญดึงดูด FDI ต่างชาติ
นอกจากนี้ประเทศไทยควรมีแนวทางในการเสริมความสามารถในการแข่งขันใหม่ อาทิ
1. ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะ SMEs ส่งเสริมการผลิตสินค้าที่มี High value added จาก R&D และนวัตกรรม และยกระดับมาตรฐานสินค้า (Transition)
2. เพิ่ม Productivity ลดต้นทุน โดยอาศัยเทคโนโลยี ยกระดับทักษาะแรงงาน (Up/Re-Skill)
3. กำหนด Priority sectors ที่จะสนับสนุนให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ
นอกจากนี้ ไทยต้องจะใช้โอกาสจากนโยบายการค้าสหรัฐในการปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม กำหนด Priority Sectors ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ
รวมทั้งยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน และอุตสาหกรรมต้นน้ำเพื่อเพิ่ม local content เพิ่ม Productivity ลดต้นทุน ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม และยกระดับทักษะแรงงานการจ้างงานของแรงงานไทยในประเทศ แรงงานต่างด้าว และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน







