ส่องแผนงานกรมพัฒน์ เสริมแกร่ง “ธุรกิจแฟรนไชส์ โลจิสติกส์ และค้าส่งค้าปลีก”

“ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก” ถือเป็น 3 ธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในยุคนี้จากสถานการณ์การค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ธุรกิจ ประกอบกับ ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้น
KEY
POINTS
- กรมพัฒน์ฯ วางแผนเสริมแกร่งธุรกิจแฟรนไชส์ผ่านการสร้างผู้ประกอบการรายใหม่, การพัฒนาสู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพ, และการสร้างโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
- ยกระดับธุรกิจโลจิสติกส์โดยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI และ Power BI ในการบริหารจัดการ และผลักดันให้ได้มาตรฐานสากล (ISO 9001) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- สนับสนุนธุรกิจค้าส่งค้าปลีกให้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบ POS, แพลตฟอร์ม E-Commerce, และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายตลาด
จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า “ธุรกิจแฟรนไชส์” ในปี 2567-2568 มูลค่าตลาดแฟรนไชส์ไทยอยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี
ส่วนธุรกิจ “โลจิสติกส์”นั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผู้บริโภคหันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนส่งพัสดุและโลจิสติกส์เติบโตอย่างรวดเร็ว
ขณะที่"ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก"ก็เติบโตไม่แพ้กันปัจจุบันมี ร้านค้าครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศกว่า 450,000 ราย รวมมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่น ร้านค้าโชห่วยและร้านค้าชุมชน
“อรมน ทรัพย์ทวีธรรม” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า ภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์ โลจิสติกส์ และค้าส่งค้าปลีกในปัจจุบันมีการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังโควิด 19 ทั้ง 3 ธุรกิจถือว่ามีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
โดยธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการสร้างงานให้กับคนไทย ปัจจุบันมีธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทย จำนวน 677 กิจการ และมีสาขารวมกว่า 80,959 สาขา
ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ในปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าในประเทศ การนำเข้า-ส่งออก หรือบริการคลังสินค้า ระบบขนส่งมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำของห่วงโซ่อุปทาน
ปัจจุบันมีการจดทะเบียนนิติบุคคลธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ จำนวน 36,608 ราย ทุนจดทะเบียน 496,491.37 ล้านบาท โดยเป็นกลุ่มให้บริการขนส่งทางบกและระบบท่อลำเลียง จำนวน 26,332 ราย (คิดเป็น 72 % ) รองลงมาเป็นกลุ่มให้บริการตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าตัวแทนออกของ 5,312 ราย (คิดเป็น 15 %)
สำหรับธุรกิจค้าส่งค้าปลึก มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย มีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและกระจายสินค้าให้คนชุมชน เป็นช่องทางรับซื้อ-จำหน่ายสินค้าชุมชน สร้างรายได้กลับคืนสู่คนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือหนึ่งของภาครัฐในการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยและอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
อย่างไรก็ตามทั้ง 3 ธุรกิจ ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนที่สูงขึ้น สถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังซื้อที่หดตัว ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ธุรกิจสามารถฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหา ให้สามารถขับเคลื่อนและเติบโตได้ต่อเนื่อง
นางอรมน กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีแผนงานที่จะดำเนินการในการส่งเสริมและยกระดับธุรกิจแฟรนไชส์ โลจิสติกส์ และค้าส่งค้าปลีก เพื่อเสริมแกร่งและช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ
โดยแยกเป็นกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ มีนโยบายและโครงการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อยกระดับและพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน อาทิ การสร้างธุรกิจแฟรนไชส์รายใหม่ (B2B Franchise) เป็นหลักสูตรให้ความรู้และฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการบริหารจัดการธุรกิจแฟรนไชส์แบบเข้มข้น เพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์
การพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์สู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพ (Franchise Standard) การสร้างโอกาสทางการตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการนำธุรกิจแฟรนไชส์ และ4. การจัดประกวดรางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทย (Thailand Franchise Award) เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ไทย
นางอรมน กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ กรมได้ดำเนินการ เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจการบริหารจัดการธุรกิจอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์ธุรกิจเชิงกลยุทธ์ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการบริหารจัดการข้อมูลในองค์กรอย่างเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการและขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การใช้โปรแกรม Power BI ช่วยจัดการข้อมูลองค์กร ลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และใช้ประโยชน์ข้อมูลในการวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ
การใช้เทคโนโลยี AI ในกระบวนการธุรกิจ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ยกระดับการบริหารจัดการการธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ตามมาตรฐานสากล (ISO 9001) การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการวางแผนกลยุทธ์และขับเคลื่อนธุรกิจ การจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบสามารถตรวจสอบได้ สร้างความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับจากผู้ใช้บริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนกลุ่มธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง นั้น กรมได้เสริมแกร่งผู้ประกอบการด้วยการให้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจค้าส่งค้าปลีก โดยเฉพาผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าในชุมชน ซึ่งเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่ ระบบบริหารจัดการหน้าร้าน (POS) และคลังสินค้า (Inventory Management) ช่วยบริหารจัดการร้าน ทั้งในด้านการสั่งซื้อ การจัดการสินค้าคงคลัง การจำหน่ายสินค้า การบริหารต้นทุน และระบบฐานข้อมูล ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ลดต้นทุนได้
นอกจากนี้การใช้ แพลตฟอร์ม E-Commerce และ Omnichannel เช่น Shopee, Lazada, LINE, TikTok Shop ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสทางการตลาดให้แก่ร้านค้าและเพิ่มยอดขาย การใช้เทคโนโลยี AI และ Chatbot เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริการ
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และการนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Payment) เช่น QR Code, e-Wallet และ Mobile Banking ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค และการใช้ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อการวางแผนการตลาด สนับสนุนให้ร้านค้าและผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ
ทั้งหมดนี้เป็นแผนการเสริมแกร่งให้ 3 ธุรกิจสำคัญของกรมพัฒน์เพื่อให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกการค้าปัจจุบัน







